ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันอังคาร (18 พ.ย.) โดยหุ้นกลุ่มการเงินยังคงปรับตัวลง ขณะที่ตลาดทั่วโลกยังคงระมัดระวัง เนื่องจากความหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เริ่มเลือนหาย ทำให้นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,552.30 จุด ลดลง 123.13 จุด หรือ -1.27%
ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลงจากแรงขายทั่วทั้งกระดาน โดยลดลงติดต่อกันเป็นวันที่ 4 และร่วงลงรายวันหนักที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่ตลาดทั่วโลกผันผวนจากการประกาศมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ
หุ้นกลุ่มธนาคารเป็นตัวฉุดตลาดเป็นวันที่สองติดต่อกัน ร่วงลง 2.8% โดยหุ้น Barclays, HSBC และ Standard Chartered ร่วงลงระหว่าง 2.2% ถึง 3.4% และกดดันดัชนี FTSE 100 อย่างหนัก
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่เผชิญแรงกดดันเช่นกัน โดยหุ้น Anglo American ร่วงลง 2.6% ขณะที่หุ้น Rio Tinto และหุ้น Glencore ร่วงลง 2% และ 2.6% ตามลำดับ หลังราคาทองแดงปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ต่อเนื่อง
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการร่วง 1.5% สะท้อนความอ่อนแอที่เกิดขึ้นในตลาดยุโรปอื่น ๆ ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและญี่ปุ่น
บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกถูกกดดันจากความกังวลว่าหุ้นเทคโนโลยีมีมูลค่าสูงเกินจริง และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค.
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในเร็ว ๆ นี้ รวมถึงผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งเป็นตัวชี้นำกระแส AI ในวันพุธนี้
เทรดเดอร์ในสหราชอาณาจักรจะติดตามรายงานเงินเฟ้อของประเทศอย่างใกล้ชิดในวันพุธนี้ด้วยเช่นกัน
ในบรรดาหุ้นรายตัว หุ้น Ocado ร่วงลง 17.4% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2556 หลังพันธมิตรในสหรัฐฯ อย่าง Kroger ระบุว่าจะปิดคลังสินค้าหุ่นยนต์สามแห่งในเดือนม.ค.
ในทางตรงข้าม หุ้น Imperial Brands พุ่งขึ้น 2.4% หลังรายงานกำไรทั้งปีสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
หุ้น Intermediate Capital Group พุ่งขึ้น 4.5% หลังมีข่าวว่า Amundi ผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในยุโรป จะเข้าถือหุ้น 9.9% ในบริษัท
หุ้น Greencore พุ่งขึ้น 6.3% หลังรายงานกำไรจากการดำเนินงานทั้งปีที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 125.7 ล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจาก 97.5 ล้านปอนด์ในปีก่อนหน้า