ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเล็กน้อยในวันจันทร์ (24 พ.ย.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มอุตสาหกรรม ขณะที่นักลงทุนรอการประกาศงบประมาณซึ่งรัฐบาลอังกฤษเตรียมเปิดเผยในสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,534.91 จุด ลดลง 4.80 จุด หรือ -0.05%
หุ้นกลุ่มการบินและกลาโหมร่วงลง 1.7% ท่ามกลางความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติสงครามยูเครน โดยหุ้น BAE Systems ร่วง 3.6% และหุ้น Babcock International ลดลง 1.6%
หุ้นเครื่องดื่มลดลง 1.8% โดยหุ้น Diageo ร่วง 2.2% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ยา และของชำลดลง 1.2% โดยหุ้น Marks & Spencer ร่วง 2.6% ขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคลดลง 1.3%
ในทางตรงกันข้าม หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1% โดยนักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ประเมินว่าธนาคารยุโรปจะมีรายได้จากดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นราว 4% ในปี 2569
หุ้น Standard Chartered พุ่งขึ้น 2.9% หลังนักวิเคราะห์ปรับคำแนะนำลงทุนเป็นให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ขณะที่หุ้น Barclays พุ่งขึ้น 2.1% หลังถูกจัดเป็นหุ้นเด่น
กลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าพุ่งขึ้น 5.9% ตามราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นจากความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธ.ค. โดยหุ้น Fresnillo พุ่งขึ้น 9.1% และหุ้น Endeavour Mining พุ่งขึ้น 4%
หุ้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัว หลัง Goldman Sachs เริ่มวิเคราะห์ด้วยมุมมองเชิงบวก โดยหุ้น Vistry พุ่งขึ้น 3.8% ขณะที่หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการเพิ่มขึ้น 1.7% โดยหุ้น EasyJet พุ่งขึ้น 3.6%
หุ้น Anglo American เพิ่มขึ้น 0.9% หลัง BHP ยุติความพยายามครั้งสุดท้ายในการเข้าซื้อกิจการคู่แข่งรายนี้
เรเชล รีฟส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอังกฤษ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นภาษีรวมหลายหมื่นล้านปอนด์เป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2567 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการกู้ยืม โดยหวังหลีกเลี่ยงแรงเทขายพันธบัตรและยังเพิ่มงบสวัสดิการได้ เธอไม่น่าจะผิดสัญญาหาเสียงด้วยการขึ้นภาษีรายได้ แต่คาดว่าจะเลือกปรับขึ้นภาษีประเภทอื่นแทน
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้น หลังการให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่เฟดเมื่อสัปดาห์ก่อนช่วยหนุนความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.