🚀*ดาวโจนส์พุ่งกระฉูดกว่า 500 จุด รับข่าว "เควิน แฮสเซตต์" จ่อนั่งเก้าอี้ประธานเฟด

ดัชนีดาวโจนส์ทะยานกว่า 500 จุด หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นายเควิน แฮสเซตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติประจำทำเนียบขาว และเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวเก็งที่จะมาแทนที่นายเจอโรม พาวเวล ในตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นอกจากนี้ ตลาดได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนพากันเทน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หลังการเปิดเผยยอดค้าปลีกที่อ่อนแอ และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน

ณ เวลา 01.36 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ บวก 526.04 จุด หรือ 1.13% สู่ระดับ 46,974.31 จุด

แหล่งข่าวระบุว่า หากนายแฮสเซ็ตต์ดำรงตำแหน่งประธานเฟด ปธน.ทรัมป์ก็จะมีพันธมิตรใกล้ชิดที่เขารู้จักและไว้วางใจอยู่ในเฟด ซึ่งจะสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ปธน.ทรัมป์ต้องการ

ด้านนายแฮสเซตต์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า หากได้รับการเสนอชื่อ เขาพร้อมที่จะรับตำแหน่งดังกล่าว และเขาจะผลักดันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกมากขึ้น

นอกจากนี้ นายแฮสเซ็ตต์คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค.

นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ดูแลกระบวนการสรรหาประธานเฟดคนใหม่แทนนายเจอโรม พาวเวล กล่าวว่า เขาคาดว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะตัดสินใจเลือกประธานเฟดคนใหม่ได้ในช่วงปลายปีนี้

'ผมคิดว่ามีโอกาสสูงมากที่ท่านประธานาธิบดีจะประกาศก่อนคริสต์มาส แต่ก็เป็นสิทธิ์ของท่านว่าจะประกาศก่อนเทศกาลคริสต์มาสหรือหลังปีใหม่ แต่ผมคิดว่ากระบวนการสรรหากำลังดำเนินไปได้ดีมาก' นายเบสเซนต์กล่าว และเสริมว่า เขายังเหลือการสัมภาษณ์ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมอีกหนึ่งคน และยังไม่พร้อมคาดเดาว่าใครจะดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ต่อจากนายพาวเวล ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนพฤษภาคม 2569

ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์มักแสดงความไม่พอใจต่อการที่เฟดไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และเมื่อไม่นานมานี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาอยากปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่ง พร้อมกระตุ้นให้นายเบสเซนต์ทำงานร่วมกับประธานเฟดเพื่อให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย

นายเบสเซนต์กล่าวในเดือนที่แล้วว่า เขาจะทำการคัดเลือกรอบสอง และหวังว่าจะสามารถเสนอรายชื่อผู้ที่เหมาะสมต่อปธน.ทรัมป์หลังวันขอบคุณพระเจ้า หรือหลังวันที่ 27 พ.ย.

นายเบสเซนต์กล่าวว่า ขณะนี้มีการคัดเลือกรายชื่อผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจนเหลือเพียง 5 คน ได้แก่ นายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์, นายเควิน แฮสเซตต์ ที่ปรึกษาของปธน.ทรัมป์, นายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด, นางมิเชล โบว์แมน รองประธานเฟด และนายริก รีเดอร์ ผู้บริหารของบริษัทแบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 82.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนักเพียง 50.1% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 17.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนธ.ค. จากเดิมที่ให้น้ำหนักมากถึง 49.9% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลง 6.8 จุด สู่ระดับ 88.7 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 93.2

นอกจากนี้ ดัชนีมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และดัชนีคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจในอนาคตต่างปรับตัวลงในเดือนพ.ย.

ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในภาคครัวเรือน และตลาดแรงงานสหรัฐ

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 5.0% ในเดือนส.ค.

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนก.ย.ในวันนี้

ทั้งนี้ ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 2.7% เช่นกันในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนส.ค.

ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% จากระดับ 2.9% ในเดือนส.ค.

เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนก.ย. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนส.ค.

ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐ ประกาศยกเลิกการเผยแพร่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนต.ค. ซึ่งเดิมมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 7 พ.ย. เนื่องจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์ ทำให้ทางกระทรวงฯ ไม่สามารถเก็บข้อมูลย้อนหลังของการสำรวจได้

ส่วนดัชนี CPI ประจำเดือนพ.ย. ซึ่งเดิมมีกำหนดเผยแพร่ในวันที่ 10 ธ.ค. จะถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 18 ธ.ค.

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรครั้งต่อไปในวันที่ 16 ธ.ค. ซึ่งจะเป็นตัวเลขการจ้างงานรวมกันของเดือนต.ค.และพ.ย. โดยจะไม่มีการแยกตัวเลขการจ้างงานของทั้งสองเดือนดังกล่าว

การเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันที่ 16 ธ.ค. ถือว่าล่าช้ากว่ากำหนดในวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งที่ผ่านมา ทางกระทรวงฯ มักเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในวันศุกร์แรกของแต่ละเดือน

ขณะเดียวกัน กระทรวงฯ จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอัตราว่างงานประจำเดือนต.ค. เนื่องจากทางกระทรวงฯ ไม่สามารถรวบรวมข้อมูลการว่างงานสำหรับช่วงเวลาดังกล่าว เพราะในขณะนั้นสหรัฐอยู่ในภาวะชัตดาวน์

ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยในวันนี้ว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลงเฉลี่ย 13,500 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ตัวเลขการจ้างงานดังกล่าวบ่งชี้ภาวะซบเซาของตลาดแรงงานสหรัฐ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ADP รายงานตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลงเฉลี่ยเพียง 2,500 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วง 4 สัปดาห์ก่อนหน้านี้

นายแจน แฮตซิอุซ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงานถึงลูกค้าว่า "เนื่องจากรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรฉบับถัดไปถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 16 ธันวาคม และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะออกในวันที่ 18 ธันวาคม จึงแทบไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจอื่นที่จะมาขัดขวางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 10 ธันวาคม"

นอกจากนี้ นายแฮตซิอุซคาดว่า ข้อมูลจะบ่งชี้การลดการจ้างงานอีกครั้งในเดือนตุลาคม แม้ว่ากระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 119,000 ตำแหน่ง ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก็ตาม

ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธันวาคม และจะปรับลดอีก 2 ครั้ง ๆ ละ 0.25% ในปี 2569