ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันจันทร์ (1 ธ.ค.) จากแรงกดดันของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ท่ามกลางบรรยากาศการลงทุนแบบหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในตลาดทั่วโลก ขณะที่นักลงทุนติดตามข้อมูลเศรษฐกิจภายในประเทศและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,702.53 จุด ลดลง 17.98 จุด หรือ -0.18%
หุ้นกลุ่มอากาศยานและการป้องกันประเทศนำการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม โดยร่วงลง 2.8% ขณะที่หุ้น Melrose ซึ่งประกาศแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่การเงินคนใหม่ ร่วงลง 4.6% ส่วนหุ้น Rolls-Royce และหุ้น BAE Systems ลดลง 2.9% และ 2.5% ตามลำดับ
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยูเครนเจรจาเมื่อวันอาทิตย์เกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพกับรัสเซีย โดยมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นถึงความคืบหน้าในการยุติสงครามที่ดำเนินมานานกว่า 3 ปี
หุ้นกลุ่มผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยปรับตัวลง 1.3% โดยหุ้น Barratt Redrow ลดลง 1.5% และ Bellway ลดลง 1.8%
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า ภาคการผลิตในประเทศเศรษฐกิจใหญ่ทั่วโลกอ่อนแอลงในเดือนพ.ย. จากอุปสงค์ที่ลดลงและความไม่แน่นอนด้านภาษีศุลกากร
ในทางกลับกัน หุ้นเหมืองแร่โลหะมีค่าเพิ่มขึ้น 4.9% ตามราคาทองคำที่ปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ โดยหุ้น Fresnillo พุ่งขึ้น 7.1% ทำสถิติสูงสุดใหม่ และหุ้น Hochschild Mining เพิ่มขึ้น 3.7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 1.1% โดยหุ้น Anglo American และหุ้น Antofagasta ปรับตัวขึ้น 1.4% และ 2.2% ตามลำดับ
ด้านข้อมูลในประเทศระบุว่า ภาคบริการของอังกฤษหดตัวเร็วที่สุดในรอบ 3 ปีในช่วงสามเดือนถึงเดือนพ.ย. ขณะที่กรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษรายหนึ่งระบุว่า ต้องเห็นสัญญาณอ่อนแรงของตลาดแรงงานมากกว่านี้ ก่อนจะพิจารณาลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนที่แล้ว นับตั้งแต่เดือนก.ย. 2567
ในสหรัฐฯ ตลาดจับตาสุนทรพจน์ของ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในช่วงท้ายวัน เพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ย
ด้านหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Reckitt พุ่งขึ้น 2.4% หลังถูกปรับเพิ่มคำแนะนำจาก Barclays ส่วนหุ้น HICL Infrastructure และหุ้น The Renewables Infrastructure Group เปิดเผยว่าได้ยกเลิกแผนควบรวมกิจการ ส่งผลให้หุ้น TRIG ร่วงลง 4.2% ขณะที่หุ้น HICL พุ่งขึ้น 3.4%
นอกจากนี้ สหรัฐฯ และอังกฤษยังได้ประกาศข้อตกลงยกเว้นภาษีนำเข้าเป็นศูนย์สำหรับผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมและเทคโนโลยีการแพทย์ของอังกฤษ โดยแลกกับการที่อังกฤษจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านยาและปรับระบบการประเมินมูลค่ายาใหม่