ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันศุกร์ (26 ธ.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบางหลังวันหยุดเทศกาลคริสต์มาส ขณะที่ไม่มีปัจจัยกระตุ้นตลาดที่ชัดเจนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 48,710.97 จุด ลดลง 20.19 จุด หรือ -0.04%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,929.94 จุด ลดลง 2.11 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,593.10 จุด ลดลง 20.21 จุด หรือ -0.09%
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตัวปิดตลาดลดลงเล็กน้อย โดยยุติการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 5 วัน แต่ยังบวกขึ้นในรอบสัปดาห์นี้
นักลงทุนจับตาสัญญาณปรากฏการณ์ตามฤดูกาลที่เรียกว่าซานตาคลอสแรลลี (Santa Claus rally) ซึ่งดัชนี S&P500 จะปรับตัวขึ้นใน 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบันและ 2 วันแรกของปีถัดไป โดยเริ่มตั้งแต่วันพุธ (24 ธ.ค.) และจะสิ้นสุดในวันที่ 5 ม.ค. การทะยานขึ้นนั้นจะเป็นสัญญาณดีสำหรับการลงทุนในปี 2569
ตลาดเหลือเพียง 3 วันทำการสุดท้ายในปีนี้ ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องภาษีศุลกากร ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเติบโตอย่างรวดเร็วของหุ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้นักลงทุนเผชิญกับความผันผวน แต่ดัชนีหลักทั้ง 3 ตัวโดยเฉพาะดัชนี Nasdaq ที่ประกอบด้วยหุ้นเทคโนโลยี ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์สองหลัก
ในบรรดา 11 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของดัชนี S&P500 นั้น กลุ่มวัสดุปรับตัวขึ้นสูงสุด ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวต่ำสุด
นับตั้งแต่ต้นปี กลุ่มบริการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มอุตสาหกรรมทำผลงานเหนือกว่าตลาดโดยรวม ขณะที่กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มเดียวที่ติดลบในปีนี้
หุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้น 1.0% หลังจากบริษัทชิป AI ตกลงอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีชิปจากสตาร์ตอัป Groq และว่าจ้าง CEO ของบริษัทนั้นด้วย
หุ้น Target พุ่งขึ้น 3.1% หลัง Financial Times รายงานว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Toms Capital Investment Management ที่ลงทุนในบริษัทอย่างมากนั้น กำลังพยายามผลักดันให้ Target เปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้นักลงทุน
หุ้นเหมืองโลหะมีค่าที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่น First Majestic, Coeur Mining และ Endeavour Silver ปรับตัวขึ้นระหว่าง 1.2% ถึง 3.0% เนื่องจากราคาทองและโลหะเงินพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่