ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์แทบไม่เคลื่อนไหวในวันนี้ ก่อนที่ตลาดจะทำการซื้อขายวันสุดท้ายของปี 2568 ในวันพรุ่งนี้
ณ เวลา 19.23 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 11 จุด หรือ 0.02% สู่ระดับ 48,760 จุด
นักลงทุนจับตาปรากฏการณ์ "ซานต้า แรลลี่" ซึ่งมักผลักดันให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นในเดือนธันวาคม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปจนถึงช่วงหลังปีใหม่
ทั้งนี้ ซานต้า แรลลี่จะเกิดขึ้นเป็นเวลา 7 วันทำการ โดยเกิดขึ้นในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปัจจุบัน รวมถึง 2 วันแรกของปีใหม่ ซึ่งในรอบนี้จะตรงกับวันที่ 24 ธันวาคม 2568 จนถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 โดยนับตั้งแต่ปี 2493 ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 1.3% ในช่วง 7 วันทำการดังกล่าว
ตลาดจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 9-10 ธันวาคม ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2569 ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปี 2569
หากพิจารณาตลอดทั้งปีนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทสามารถปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 13.9% ส่งผลให้ดาวโจนส์มีแนวโน้มทำสถิติดีดตัวขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่ปี 2564 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 17.4% และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นมากกว่า 21%
เมื่อพิจารณาจากดัชนี S&P 500 พบว่า หุ้นทั้ง 11 กลุ่มต่างปรับตัวขึ้นในปี 2568 นำโดยหุ้นกลุ่มบริการสื่อสารและกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งพุ่งขึ้น 32.5% และ 24.7% ตามลำดับ ขานรับกระแสความตื่นตัวในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้นเพียง 0.5%
หุ้น Western Digital ถือเป็นดาวเด่นในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทประจำปี 2568 โดยทะยานขึ้นเกือบ 300% ขณะที่หุ้น Micron Technology พุ่งขึ้นเกือบ 250% ส่วนหุ้น Palantir ดีดตัวขึ้นมากกว่า 140%
หุ้น Alexandria Real Estate Equities เป็นหุ้นที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุด โดยทรุดตัวลงเกือบ 50% ขณะที่หุ้น Iron Mountain ดิ่งลง 21%
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวขึ้นในปี 2568 แต่ผลตอบแทนยังคงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในโลหะมีค่า โดยแพลทินัมและโลหะเงินให้ผลตอบแทนราว 150% ขณะที่แพลเลเดียมพุ่งขึ้นราว 100% ส่วนทองดีดตัวขึ้น 70%
นอกจากนี้ ปี 2568 น่าจะเป็นปีที่น่าผิดหวังสำหรับผู้ที่ลงทุนในบิตคอยน์ที่ต้องขาดทุนถึง 6% ขณะที่ผู้ที่ถือครองดอลลาร์สหรัฐจะขาดทุนเกือบ 10% ส่วนนักลงทุนในสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์จะพบว่ามีมูลค่าลดลงถึง 16%