หลังจากตลาดเปิดทำการได้ไม่นาน ดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้น 83.04 จุด หรือ 0.51% แตะที่ 16,508.14 จุด ดัชนี S&P 500 ดีดขึ้น 8.35 จุด หรือ 0.46% แตะที่ 1,835.12 จุด และดัชนี Nasdaq บวก 21.88 จุด หรือ 0.53% แตะที่ 4,135.56 จุด
กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐรายงานว่า ยอดขาดดุลการค้าสินค้าและบริการของสหรัฐในเดือนพ.ย. ปรับตัวลดลง 12.9% สู่ระดับ 3.43 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 3.93 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากการส่งออกที่ขยายตัวขึ้นทำสถิติสูงสุด ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง
ยอดขาดดุลการค้าเดือนพ.ย.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2552 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐจะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย.
ยอดส่งออกของสหรัฐขยายตัว 0.9% จากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 1.9486 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสาเหตุหลักมาจากอุปสงค์เครื่องบินพลเรือนและน้ำมันเชื้อเพลิงที่แข็งแกร่ง ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 1.4% แตะ 2.2911 แสนล้านดอลลาร์ นำโดยยอดสั่งซื้อน้ำมันดิบที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
เจย์ มอร์ล็อค นักเศรษฐศาสตร์จากเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียล กล่าวว่า ยอดขาดดุลการค้าที่ลดลงอย่างมากนั้นบ่งชี้ว่า การค้าจะช่วยหนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในไตรมาส 4
ขณะเดียวกัน นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การกล่าวสุนทรพจน์จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายรายของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด บอสตัน และจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด ซานฟรานซิสโก
นายโรเซนเกรนกล่าวก่อนตลาดหุ้นสหรัฐเปิดทำการว่า รอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า ทำให้เขาเชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐควรใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป และควรลดมาตรการกระตุ้นลงแค่เพียงทีละน้อยเท่านั้น
การแสดงความเห็นของเขาได้ย้ำความเชื่อมั่นส่วนหนึ่งให้กับนักลงทุน และช่วยให้ตลาดกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่เริ่มต้นปีใหม่อย่างอ่อนแอ