ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 181.04 จุด ตลาดคลายวิตกเฟดขึ้นดบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 10, 2014 06:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 เม.ย.) ซึ่งเป็นการปิดบวกติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทำให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลที่ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,437.18 จุด พุ่งขึ้น 181.04 จุด หรือ +1.11% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,183.90 จุด เพิ่มขึ้น 70.91 จุด หรือ +1.72% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,872.18 จุด เพิ่มขึ้น 20.22 จุด หรือ +1.09%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นขานรับรายงานการประชุมของเฟดที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า ควรหาแนวทางที่จะฉุดอัตราว่างงานให้ปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมาย ก่อนที่จะพิจารณาเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ในช่วงที่ผ่านมานั้น ตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก ตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก เมื่อนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดกล่าวว่า เฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหลังจากที่เฟดยุติการใช้มาตรการ QE ไปแล้วราว 6 เดือน ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า สต๊อกสินค้าคงคลังภาคค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.พ. ตัวเลขดังกล่าวมีความสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยสต๊อกสินค้าคงคลังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)

หุ้นอัลโค อิงค์ พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่ากำไรไตรมาสแรกอยู่ที่ 9 เซนต์ต่อหุ้น ขณะที่ผลประกอบการทั้งหมดอยู่ที่ 5.45 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

หุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 7.3% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหุ้นที่จดทะเบียนในดัชนี S&P 500 และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นด้วย

นักลงทุนจับตาดูบริษัทรายใหญ่ของสหรัฐจะเปิดเผยผลประกอบการ โดยเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โก จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกในวันศุกร์นี้ โดยนักลงุทนจับตาดูผลประกอบการภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าบริษัทต่างๆมีผลการดำเนินงานอย่างไรกันบ้างในไตรมาสที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่อากาศหนาวรุนแรง

ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ระบุว่า บริษัทที่จดทะเบียนในดัชนี S&P 500 จะมีผลประกอบการไตรมาสแรกขยายตัวขึ้น 1.1% และคาดว่ารายได้ของบริษัทกลุ่มนี้จะเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ