ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,262.56 จุด เพิ่มขึ้น 89.32 จุด หรือ +0.55% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,842.98 จุด เพิ่มขึ้น 12.37 จุด หรือ +0.68% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,034.16 จุด เพิ่มขึ้น 11.47 จุด หรือ +0.29%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทเอกชน โดยบริษัทโคคา-โคลา เปิดเผยว่ารายได้สุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกอยู่ที่ 1.058 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้ว่าลดลง 4% แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และช่วยหนุนราคาหุ้นโคคา-โคลา พุ่งขึ้น 3.74%
ด้านบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เปิดเผยว่าได้สุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกอยู่ที่ 4.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งช่วยหนุนหุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน พุ่งขึ้น 2.12%
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR)/เวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้สร้างบ้านในสหรัฐขยับขึ้นเล็กน้อย สู่ระดับ 47 ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยว่า กิจกรรมด้านการผลิตในรัฐนิวยอร์กปรับตัวลดลงในเดือนเม.ย.
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบในระหว่างวันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน โดยล่าสุดมีรายงานว่า สหภาพยุโรป (อียู) ตกลงที่จะขยายขอบเขตของการอายัดทรัพย์สินและการห้ามออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่ของรัสเซีย ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทวีความตึงเครียดในเมืองต่างๆทางภาคตะวันออกของยูเครน ขณะเดียวกันอียูเตือนว่า หากรัสเซียดำเนินการใดๆเพิ่มเติมเพื่อทำให้สถานการณ์ในยูเครนไร้เสถียรภาพ ก็อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจระหว่างสมาชิกอียูและสหพันธรัฐรัสเซียได้รับผลกระทบตามมาในหลายด้าน