ดัชนี FTSE 100 ลดลง 161.07 จุด หรือ 2.49% ปิดที่ 6,300.63 จุด และตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีร่วงลงถึง 6.6% ซึ่งลดลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2554
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซถูกเทขาย หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอีกวานนี้ ต่อเนื่องจากวันก่อน และแตะระดับต่ำอย่างที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่ช่วงภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงสุดเมื่อปี 2552 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลก ภายหลังสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์
โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลง 2.9% แตะที่ 61.83 ดอลลาร์/บาร์เรล ในวันศุกร์
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายยังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวัง โดยสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท รายงานว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.ปรับตัวขึ้นเพียง 0.1% ทั้งในยูโรโซน และในอียู
ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเผยว่า ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้างของอังกฤษในเดือนต.ค. ร่วงลงถึง 2.2% เทียบกับในเดือนก.ย.
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลง 2.5% โดยบีเอชพี บิลลิตัน และริโอ ทินโต สองบริษัทเหมืองแร่รายใหญ่ของโลก ต่างปรับตัวลงเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน ด้านเบลเวย์ บริษัทรับสร้างบ้าน ปรับตัวลง หลังจากที่ถูกปรับลดอันดับความน่าลงทุน
ขณะที่หุ้นเซเวิร์น เทรนท์ และยูไนเต็ด ยูทิลิตีส์ กรุ๊ป ปรับตัวขึ้น หลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลด้านการประปาของอังกฤษออกรายงานค่าน้ำ
ทั้งนี้ หุ้นบวกนำโดยยูไนเต็ด ยูทิลิตีส์ กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3.56% หุ้นเซเวิร์น เทรนท์ ดีดขึ้น 1.15% หุ้นเซนส์บิวรี บวก 0.53% และเวียร์ กรุ๊ป ขยับขึ้น 0.24%
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ปิโตรแฟค 6.35% โคคา-โคล่า เอชบีซี 5.42% อาวีว่า 3.92% เซนต์ เจมส์ เพลซ 3.79% และโวดาโฟน กรุ๊ป 3.43%