ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 ต.ค.) หลังจากนักลงทุนได้ซัมซับคำพูดของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ท่ามกลางการรายงานผลประกอบการของภาคเอกชนที่สดใส
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 39.44 จุด หรือ 0.22% ปิดที่ 18,138.38 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.43 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 2,132.98 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.83 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 5,214.16 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากนางเยลเลนระบุว่า เฟดอาจจะใช้นโยบาย “เศรษฐกิจแรงกดดันสูง" เพื่อฟื้นฟูความเสียหายจากวิกฤตที่กดดันผลผลิต แรงงานที่ทำอาชีพเสริม และความเสี่ยงได้กลายมาเป็นแผลเป็นอย่างถาวร
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่านางเยลเลนจะไม่ได้กล่าวถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับนโยบายในทันทีโดยตรง แต่ก็ได้บ่งชี้ถึงความวิตกกังวลในเชิงลึกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวและอาจจะมีการใช้นโยบายในเชิงรุกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีผลต่อการซื้อขายของตลาดนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่ราคาพลังงาน และอาหารปรับตัวขึ้น
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย.
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ในช่วง 9 เดือนแรก ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ยอดค้าปลีกได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงาน และยอดซื้อรถยนต์
หุ้นซิตี้แบงก์ กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 0.29% หลังจากธนาคารเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 3 ที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ลดลง 0.32% ถึงแม้ว่าธนาคารจะเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ก็ตาม