ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นในการซื้อขายภาคบ่ายวันนี้ ในขณะที่หุ้นของจีนดีดตัวสูงขึ้นภายหลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ปรับค่ากลางเงินหยวนลงอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการขึ้นมาทำหน้าที่ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจจะทำให้เกิดกระแสเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่
ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียเปิดวันนี้ที่ 26,246.70 จุด เพิ่มขึ้น 96.46 จุด, +0.37% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 22,401.67 จุด เพิ่มขึ้น 57.46 จุด, +0.26% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,626.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.48 จุด, +0.15%
เงินหยวนของจีนร่วงลงอย่างหนักในวันนี้ ภายหลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดอัตราอ้างอิงลง ท่ามกลางกระแสการคาดการณ์ที่ว่า ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ จะใช้มาตรการเข้มทางการเงินมากขึ้น
ทั้งนี้ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินหลักๆ ภายหลังจากที่นักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้อย่างแน่นอน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้มีการเผยแพร่แล้วในวันนี้ ได้แก่ ยอดส่งออกเดือนต.ค.ของญี่ปุ่นร่วงลง 10.3% เทียบรายปี สู่ระดับ 5.87 ล้านล้านเยน ทำสถิติหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 13 เนื่องจากการแข็งค่าของเงินเยนได้ฉุดการส่งออกเหล็กและรถยนต์จากญี่ปุ่นไปยังประเทศตะวันออกกลาง
ขณะที่ยอดการนำเข้าเดือนต.ค.ของญี่ปุ่นลดลง 16.5% สู่ระดับ 5.37 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 22 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง โดยมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนต.ค.ร่วงลงถึง 27.2%
ส่วนความเคลื่อนไหวทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 24 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยที่ประชุมให้คำมั่นว่าจะผลักดันการค้าเสรีและความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้มีความคืบหน้า เพื่อรับมือกับนโยบายกีดกันทางการค้า หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้ประกาศว่า จะใช้มาตรการปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐเป็นลำดับแรก
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงจุดยืนในการปกป้องการค้าและต่อต้านโลกาภิวัตน์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้สร้างความหวั่นวิตกให้แก่บรรดาประเทศคู่ค้าของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเคยประกาศในระหว่างการรณรงค์หาเสียงว่า เขาจะยับยั้งข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) โดยอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องตกงาน อีกทั้งยังสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐอีกด้วย