ตลาดหุ้นลอนดอนปิดเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ (11 ม.ค.) โดยดัชนี FTSE 100 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 10 วันทำการ จากแรงซื้อของหุ้นกลุ่มส่งออกซึ่งได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวก 15.02 จุด หรือ 0.21% แตะที่ 7,290.49 จุด
ดัชนี FTSE 100 ยังคงได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินปอนด์อย่างต่อเนื่อง โดยนายนีล วิลสัน นักวิเคราะห์อาวุโสแห่งอีทีเอ็กซ์ แคปิตอล ระบุว่า เงินปอนด์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเช่นนี้ต่อไป แต่จะเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อรัฐบาลอังกฤษสามารถให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการ Brexit
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้แรงหนุนจากการที่นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการการคลัง (Treasury Select Committee) ของรัฐสภา ว่า กระบวนการ Brexit ไม่ใช่ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่จะฉุดเศรษฐกิจของอังกฤษเข้าสู่ทิศทางขาลงอีกต่อไป
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตเวชภัณฑ์ปรับตัวลง ภายหลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐ กล่าวแถลงอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อวานนี้ โดยเขาได้ย้ำจุดยืนที่จะปกป้องอุตสาหกรรมยาของสหรัฐ และพร้อมจะสร้างระบบประมูลใหม่และออกกฎหมายใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยา เพื่อรักษาระดับราคาเวชภัณฑ์ในประเทศให้มีเสถียรภาพ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของภาคอุตสาหกรรมยาของอังกฤษ
หุ้นไชร์ ร่วงลง 3.2% หุ้นฮิคมา ฟาร์มาซูติคอลส์ ลดลง 1.2% หุ้นแอสทราเซเนกา ลดลง 1.8% และหุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์ ลดลง 0.8%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกที่น่าจับตา หุ้นเซนส์บิวรี ซึ่งเป็นห้างซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่อันดับสองของอังกฤษ เพิ่มขึ้น 1% หลังบริษัทเปิดเผยยอดขายปลีก (ยกเว้นเชื้อเพลิง) ปรับตัวขึ้น 0.8% ในช่วงเวลา 15 สัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 7 ม.ค.