ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 96.97 จุด รับแผนลดภาษี"ทรัมป์"

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday February 11, 2017 06:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (10 ก.พ.) ขณะที่ S&P500 และ NASDAQ ปิดแดนบวกเช่นกัน โดยทั้งสามดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดได้อีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งตลาดมองว่าจะเป็นผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทต่างๆ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 96.97 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 20,269.37 จุด ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 8.23 จุด หรือ 0.36% ปิดที่ 2,316.10 จุด ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 18.95 จุด หรือ 0.33% ปิดที่ 5,734.13 จุด

สำหรับตลอดสัปดาห์ ทั้งสามดัชนีหลักปรับตัวขึ้นแข็งแกร่ง โดยพุ่งขึ้น 1.0%, 0.8% และ 1.2% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสามสัปดาห์

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคักเมื่อคืนนี้ต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี โดยดัชนีหลักทั้งสามดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่สอง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดเผยในระหว่างการประชุมกับผู้บริหารของสายการบินที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่สัปดาห์

"การปรับลดภาระภาษีโดยรวมสำหรับภาคธุรกิจของสหรัฐถือเป็นเรื่องใหญ่ และเราจะทำการประกาศภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะถือเป็นปรากฎการณ์สำหรับการปรับลดภาษี" ปธน.ทรัมป์กล่าว

ขณะที่ในวันศุกร์ ปธน.ทรัมป์ได้จัดการประชุมหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ที่กรุงวอชิงตัน โดยนายทรัมป์ได้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวภายหลังการประชุมว่า สหรัฐต้องการความสัมพันธ์ทางการค้าที่เสรี เป็นธรรม และต่างตอบแทนกันร่วมกับญี่ปุ่น

โดยหลังเสร็จสิ้นการประชุม ผู้นำทั้งสองจะเดินทางไปยังกอล์ฟรีสอร์ตในปาล์มบีช รัฐฟลอริดาของนายทรัมป์ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำสองประเทศ

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าดีดตัวขึ้นมากกว่าคาดในเดือนม.ค. โดยปรับตัวขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนธ.ค.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าดัชนีราคานำเข้าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนม.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าพุ่งขึ้น 3.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2555 หลังจากขยับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค.

ดัชนีราคานำเข้าได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยสกัดราคานำเข้า

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 2.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2555 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนธ.ค.

ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 95.7 ในเดือนก.พ. หลังพุ่งแตะ 98.5 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2547 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวที่ระดับ 98.5 โดยดัชนีความเชื่อมั่นถูกกดดันจากดัชนีคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจที่ปรับตัวลง

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นช่วยหนุนหุ้นกลุ่มวัสดุ พลังงาน และกลุ่มอุตสาหกรรมในการซื้อขายวันศุกร์

หุ้น แคทเธอร์พิลลาบวก 2.5% หุ้นไนกี้บวก 1.7%

หุ้นมี้ด จอห์นสัน พุ่ง 5.6% หลังเรกคิทท์ เบนคีเซอร์ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค เปิดเผยว่าบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการบริษัท มี้ด จอห์นสัน ผู้ผลิตนมผงสำหรับเด็ก ในวงเงิน 1.66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหุ้นละ 90 ดอลลาร์

เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ เป็นเจ้าของแบรนด์ถุงยางอนามัย Durex และสเปรย์ทำความสะอาด Lysol ขณะที่มี้ด จอห์นสันเป็นผู้ผลิตนมผงเด็ก Enfamil

หุ้นบลิซซาร์ด อิงค์ ทะยาน 19% หลังผู้ผลิตเกม “Candy Crush Saga" ประกาศซื้อหุ้นคืน และเพิ่มเงินปันผล แม้ผลประกอบการรายไตรมาสจะออกมาน่าผิดหวังก็ตาม

หุ้นเซียร์ส โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 26% หลังจากที่บริษัทเปิดเผยว่าจะทำการปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ขณะที่ทำการพัฒนาสินค้าในร้าน และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสต็อกสินค้าคงคลัง โดยก่อนหน้านี้ เซียร์สเผชิญกับปัญหาขาดทุน และยอดขายที่ตกต่ำเป็นเวลาหลายปี

เซียรส์สูญเสียตำแหน่งห้างค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐ จากการที่นักลงทุนหันไปซื้อสินค้าจากบริษัทคู่แข่ง เช่น วอลมาร์ท และหันเข้าซื้อสินค้าทางออนไลน์

ที่ผ่านมา เซียร์สได้พยายามลดค่าใช้จ่าย และขายสาขาในเครือให้แก่กองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งขายแบรนด์สินค้า แต่ก็ยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ให้มีกำไร

ในช่วงไม่ถึง 2 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นเซียร์สทรุดตัวลงถึง 40% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ควบกิจการกับเคมาร์ทในปี 2547 เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าบริษัทจะประสบภาวะล้มละลาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ