ดาวโจนส์พุ่งไม่หยุด ทะยานกว่า 300 จุดรับนโยบาย"ทรัมป์" หุ้นแบงก์ดีดตัวเก็งเฟดขึ้นดอกเบี้ย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 2, 2017 00:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นนิวยอร์กทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุดดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุด แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือระดับ 21,000 จุด ขานรับการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อสภาคองเกรส

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ระบุว่า เขามีแผนที่จะทุ่มงบประมาณจำนวน 1 ล้านล้านดอลลาร์ในการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภค

นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่า รัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับชนชั้นกลาง และลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับภาคธุรกิจ, ปฏิรูประบบประกันสุขภาพ และการตรวจคนเข้าเมือง

ณ เวลา 00.25 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 21,145.21 จุด เพิ่มขึ้น 332.97 จุด หรือ 1.60% โดยพุ่งขึ้นจากที่ร่วงลงเมื่อวานนี้ หลังจากทำสถิติปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 12 วันทำการ

ดัชนีดาวโจนส์สามารถปิดตลาดเหนือระดับ 20,000 จุดเมื่อวันที่ 25 ม.ค. และใช้เวลาเพียง 24 วันทำการ ก็สามารถดีดตัวขึ้นกว่า 1,000 จุด ทะลุเส้น 21,000 ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการทำสถิติพุ่งขึ้น 1,000 จุดที่เร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของดาวโจนส์

หุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ทะยานขึ้นมากที่สุด

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ขานรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนนี้ เนื่องจากจะช่วยเพิ่มกำไรจากอัตราดอกเบี้ยของภาคธนาคาร

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารยังปรับตัวขึ้นจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการผ่อนคลายกฎระเบียบ โดยเฉพาะการแก้ไขกฏหมายดอดด์-แฟรงค์ ซึ่งเป็นกฏหมายที่รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เคยใช้กู้วิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2007-2009 ซึ่งมีความเข้มงวดในการทำธุรกรรมทางการเงินในด้านต่างๆ เช่น การปล่อยสินเชื่อ การเปิดเผยข้อมูลกองทุนเฮดจ์ฟันด์ การลงทุนของกลุ่มสถาบันการเงิน รวมถึงการทำธุรกรรมอนุพันธ์

CME Group FedWatch ระบุว่า ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 69% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

ทั้งนี้ ความเป็นไปได้ดังกล่าว ได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าจากเมื่อวานนี้ ขณะที่เครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ บ่งชี้ว่าเฟดมีโอกาสมากกว่า 80% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดประเมินว่ามีความเป็นไปได้ไม่ถึง 20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มี.ค.

นักวิเคราะห์ระบุว่า คำกล่าวของเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจซึ่งคาดว่าจะขยายตัวราว 2% และอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 2% ในปีนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค.ถือเป็นแนวคิดที่ดี

การแสดงความเห็นของนายบูลลาร์ดมีขึ้นหลังจากนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก ได้ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน

ทางด้านนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กล่าวว่า เฟดอาจจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ เพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่ล่าช้าเกินไปในการสกัดเงินเฟ้อ

นักลงทุนจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ที่ Executives' Club of Chicago ในวันศุกร์นี้ เพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

นอกจากนี้ การเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในวันนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2013 หลังจากขยับขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE ดีดตัวขึ้น 1.9% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2012 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนธ.ค.

นอกจากนี้ ดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2012 หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนธ.ค.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 1.7% ในเดือนม.ค. โดยอยู่ใกล้ระดับ 2.0% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด หลังจากดีดตัวขึ้น 1.7% เช่นกันในเดือนธ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ