ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนซึมซับรายงานการประชุมเดือนมี.ค. ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,648.15 จุด ลดลง 41.09 จุด หรือ -0.20% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,352.95 จุด ลดลง 7.21 จุด หรือ -0.31% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,864.48 จุด ลดลง 34.13 จุด หรือ -0.58%
รายงานการประชุมระบุว่า เจ้าหน้าที่เฟดต้องการเริ่มต้นลดขนาดงบดุลบัญชีลงจากระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้
รายงานดังกล่าวระบุว่า "เนื่องจากเศรษฐกิจยังสอดคล้องกับการคาดการณ์ ผู้ร่วมการประชุมส่วนใหญ่จึงมองว่าอาจมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อไปในอนาคต และตัดสินว่า การเปลี่ยนนโยบายเรื่องการลงทุนต่อ (reinvestment) ของทางคณะกรรมการน่าจะสมควรแก่เวลาภายในปีนี้"
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การลดขนาดงบดุลบัญชีมีนัยสำคัญยิ่งเมื่อพิจารณาในเรื่องผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากอาจส่งผลให้ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ย
ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 263,000 ตำแหน่ง และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง โดยนักลงทุนจับตาดูตัวเลขนี้เพื่อประเมินทิศทางตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรซึ่งจะมีการเปิดเผยวันพรุ่งนี้
ในขณะเดียวกัน ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM มีการขยายตัวที่ระดับ 55.2 ในเดือนมี.ค. ลดลงจากระดับ 57.6 ในเดือนก.พ.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีภาคบริการจะปรับตัวลงสู่ระดับ 57.0 ในเดือนมี.ค.
อย่างไรก็ดี ภาคบริการของสหรัฐมีการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 87 ในเดือนมี.ค. เนื่องจากดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวลดลงนั้นมีทั้งหุ้นเจพี มอร์แกน เชส ซึ่งปรับตัวลดลง 0.17% ส่วนหุ้นซิสโก ซิมเต็มส์ ปรับตัวลดลง 0.18% และหุ้นไอบีเอ็มปรับตัวลดลง 0.94%