ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจนแทบจะทรงตัวเมื่อคืนนี้ (5 เม.ย.) เนื่องจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ถูกสกัดด้วยแรงเทขายหุ้นกลุ่มยานยนต์ อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงมีทัศนคติที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังมาร์กิต เผยดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการยูโรโซนขยายตัวสูงสุดรอบ 71 เดือนในมี.ค.
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.02% ปิดที่ 380.09 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,331.68 จุด เพิ่มขึ้น 9.86 จุด หรือ +0.13% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,217.54 จุด ลดลง 64.80 จุด หรือ -0.53% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,091.85 จุด ลดลง 9.28 จุด หรือ -0.18%
ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 56.4 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 71 เดือน จากระดับ 56.0 ในเดือนก.พ.
นอกจากนี้ ซิตี้กรุ๊ป ยังได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้นยุโรป สู่ระดับ overweight หรือลงทุนมากกว่าเกณฑ์เฉลี่ย โดยซิตี้กรุ๊ประบุว่า การคาดการณ์ในเชิงบวกดังกล่าว มีสาเหตุจากการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และภาวะความเสี่ยงที่ลดลงจากปัจจัยการเมืองในยุโรป
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการพบกันระหว่างปธน.สี จิ้นผิง และปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 6-7 เม.ย.นี้ ที่รีสอร์ท Mar-a-Lago ในเมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ขณะที่รายงานระบุว่า ผู้นำทั้ง 2 จะหารือกันในประเด็นการค้า และแผนรับมือกับการคุกคามของเกาหลีเหนือ
การพบปะหารือระหว่างผู้นำของ 2 ชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐและจีนนั้น ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าสหรัฐ เร่งหาสาเหตุที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์ จาก 16 ประเทศ ซึ่งรวมถึงการขาดดุลการค้ากับจีน
หุ้นกลุ่มน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นโททาลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.4% หลังสัญญาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้
ส่วนหุ้นซินเจนตา บริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชและยาปราบศัตรูพืชสัญชาติสวิส ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.2% หลังทางการสหรัฐไฟเขียวให้เคมไชน่าซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจจีน สามารถซื้อกิจการดังกล่าวได้