ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 138.61 จุด วิตกสถานการณ์โลกตึงเครียด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday April 14, 2017 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงเป็นวันที่สามติดต่อกันในวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) ซึ่งเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่ตลาดจะหยุดยาวเนื่องในเทศกาลอีสเตอร์ โดยบรรยากาศการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งจากสถานการณ์ซีเรีย เกาหลีเหนือ และหลังจากที่ล่าสุดมีรายงานว่าสหรัฐทิ้งระเบิด MOAB (Mother of All Bombs) ในอัฟกานิสถาน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,453.25 จุด ลดลง 138.61 จุด หรือ -0.67% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,328.95 จุด ลดลง 15.98 จุด หรือ -0.68% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,805.15 จุด ลดลง 31.01 จุด หรือ -0.53%

สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1%, S&P 500 ลดลง 1.1% และ Nasdaq ลดลง 1.2%

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันศุกร์ เนื่องในวัน Good Friday เทศกาลอีสเตอร์

หุ้นกลุ่มการเงินถูกจับตา เนื่องจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการวานนี้

ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจากปีที่แล้ว รวมทั้งผลประกอบการจากธุรกิจวาณิชธนกิจ

เจพีมอร์แกน เชส ระบุว่า ธนาคารมีรายได้ 2.56 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 6.45 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.65 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.49 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.52 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1

ด้านซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแผนกวาณิชธนกิจ และจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย

ซิตี้กรุ๊ประบุว่า ธนาคารมีรายได้ 1.812 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 4.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.35 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 1.776 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.24 ดอลลาร์/หุ้น

ส่วนธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ลดลงในไตรมาส 1 โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และค่าธรรมเนียมเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ลดลง

เวลส์ ฟาร์โก ระบุว่า ธนาคารมีรายได้ 2.20 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 5.06 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.00 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 0.96 ดอลลาร์/หุ้น

นอกจากนักลงทุนรอดูการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทต่างๆแล้ว ภาวะการซื้อขายยังได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ โดยในช่วงสัปดาห์นี้ ตลาดถูกปกคลุมด้วยความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในซีเรีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซียที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า ตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับความตึงเครียดที่สูงขึ้นระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ

ล่าสุด กระทรวงกลาโหมของสหรัฐเปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า กองทัพสหรัฐได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ที่สุดที่ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ลงในอัฟกานิสถาน เพื่อโจมตีเป้าหมายของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS)

รายงานระบุว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ได้มีคำสั่งให้ทางกองทัพทิ้งระเบิด GBU-43 หรือ Massive Ordnance Air Blast (MOAB) ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 22,000 ปอนด์ ไปที่เป้าหมายของกลุ่ม IS ในจังหวัดนันการ์ฮาร์ ประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ระเบิดดังกล่าวในการสู้รบ

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐยังได้รับแรงกดดันส่วนหนึ่งจากการที่นักลงทุนกังวลต่อนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังเขากล่าวเตือนถึงการแข็งค่าของดอลลาร์

ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเห็นเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์และอัตราดอกเบี้ยในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล โดยกล่าวว่า ดอลลาร์กำลังแข็งค่ามากเกินไปในขณะนี้ ทั้งยังระบุว่า เขาชอบนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ

คำกล่าวของปธน.ทรัมป์ถือเป็นการสวนทางกับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนไม่มั่นใจเกี่ยวกับการจัดอันดับความสำคัญของนโยบายรัฐบาลทรัมป์ หลังปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาต้องการที่จะยกเลิก และทดแทนนโยบายโอบามาแคร์ ก่อนที่จะดำเนินการปฏิรูปภาษี

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.1% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการทะยานขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2012 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนก.พ.

ขณะที่ดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร พลังงาน และภาคบริการ ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.พ.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐาน เพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนมี.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนก.พ.

ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 234,000 ราย โดยเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ และอยู่ใกล้ระดับ 227,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 44 ปีที่ทำไว้ในเดือนก.พ.

ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 247,250 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลดลง โดยหุ้นเจพี มอร์แกน ร่วง 1.2% ซิตี้กรุ๊ปลดลง 0.8% แม้ธนาคารเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่เวลส์ ฟาร์โก ร่วง 3.3%

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงเช่นกัน หุ้นเชฟรอน ร่วง 2.6%

หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ลบ 1.9%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ