ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 20.82 จุด หลังหุ้นแบงก์ร่วง,ราคาน้ำมันดิ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 1, 2017 06:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากแบงก์ ออฟ อเมริกา และเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ระบุว่า รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งปรับตัวลดลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงกว่า 2% และข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,008.65 จุด ลดลง 20.82 จุด หรือ -0.10% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,411.80 จุด ลดลง 1.11 จุด หรือ -0.05% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,198.52 จุด ลดลง 4.67 จุด หรือ -0.08%

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยว่า ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินอาจส่งผลให้รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งของธนาคารร่วงลงอย่างหนักถึง 15% ในไตรมาส 2 ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุว่า รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งมีแนวโน้มลดลงราว 10-12% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

ทั้งนี้ หุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 2.1% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 1.9% หุ้นแคปิตอล วัน ร่วงลง 1.7% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 3.3%

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงราว 2.7% เมื่อคืนนี้ จากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันของลิเบียมีแนวโน้มพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ทั้งนี้ หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.1% หุ้นทรานส์โอเชียน ร่วงลง 1.9% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ลดลง 0.8% หุ้นเมอร์ฟีย์ ออยล์ ดิ่งลง 1.1%

หุ้นไมเคิล คอร์ โฮลดิ้งส์ ผู้จำหน่ายเสื้อผ้าชื่อดัง ร่วงลง 8.5% หลังจากบริษัทประกาศแผนการปิดร้านจำนวนมากถึง 125 แห่ง เนื่องจากยอดขายหดตัวลง

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 1.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่เพิ่มขึ้น และสต็อกบ้านในระดับต่ำ ทั้งนี้ ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย เป็นมาตรวัดจำนวนสัญญาซื้อบ้านมือสองที่มีการเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดการขาย และโดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนสำหรับการเซ็นสัญญาไปจนกระทั่งปิดการขาย

สำหรับรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตลาดจับตานั้น ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยาตัวปานกลางในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงตึงตัว และแรงกดดันด้านราคามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

การเปิดเผยรายงาน Beige Book มีขึ้นก่อนการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 13-14 มิ.ย. ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค.จาก ADP, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค.โดยมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และการใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนเม.ย.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ค.ของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพรุ่งนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งคาดว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.จะเพิ่มขึ้นราว 185,000 ตำแหน่ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ