ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 62.11 จุด รับหุ้นเทคโนโลยีพุ่งแรง

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday June 3, 2017 06:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq เดินหน้าทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกันเป็นวันที่ 2 อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ก็ตาม

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,206.29 จุด เพิ่มขึ้น 62.11 จุด หรือ +0.29% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,439.07 จุด เพิ่มขึ้น 9.01 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,305.80 จุด เพิ่มขึ้น 58.97 จุด หรือ +0.94%

ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 0.59% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.95% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.54%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้น 1.04% ซึ่งปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ นำโดยหุ้นบรอดคอม ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ ซึ่งพุ่งขึ้นกว่า 8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะที่หุ้นไมโครซอฟท์ ดีดตัวขึ้น 0.5%

ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 0.49% นำโดยหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.5% และมีส่วนช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์เดินหน้าทำสถิติสูงสุดเป็นวันที่ 2

หุ้นลูลูเลมอน แอธลีติกา ซึ่งเป็นผู้ผลิตชุดออกกำลังกายชื่อดัง พุ่งขึ้นเกือบ 12% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด และประกาศปรับโฉมสินค้าแบรนด์ Ivivva ของบริษัท

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 1.5% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจนำสหรัฐถอนตัวออกจาก "ความตกลงปารีสว่าด้วยปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ" จะส่งผลให้สหรัฐขุดเจาะและผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะน้ำมันล้นตลาด

ทั้งนี้ หุ้นทรานส์โอเชียน ร่วงลง 2.2% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 3.3% หุ้นนิวฟิลด์ เอ็กซ์พลอเรชัน ดิ่งลง 5% หุ้นเรนจ์ รีซอสเซส ร่วงลง 3.8%

นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ แม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก็ตาม โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึงเกือบ 94% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 138,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 174,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.4% ในเดือนเม.ย.

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า การจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. และอัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.4%

ทางด้านนายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นกรรมการเฟดที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในปีนี้ กล่าวว่า เฟดยังคงมีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในช่วงสิ้นปีนี้ และเขาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้

นักลงทุนจับตาสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐซึ่งจะลงมติกฎหมายปฎิรูปการเงินในสัปดาห์หน้า โดยนายเควิน แมคคาร์ธี ผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวจะมีการยกเลิกเนื้อหาส่วนใหญ่ในกฎหมายดอดด์-แฟรงค์ปี 2010

ทั้งนี้ คาดว่าสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากนั้น จะให้การอนุมัติต่อร่างกฎหมายดังกล่าว แต่ก็คาดว่าร่างกฎหมายนี้จะเผชิญภาวะไม่แน่นอนในวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกพรรคเดโมแครตแสดงท่าทีคัดค้าน ขณะที่พรรครีพับลิกันจำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ