ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 วันทำการเมื่อคืนนี้ (3 ก.ค.) ด้วยแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ สืบเนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมภาคการผลิตของจีน
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 64.37 จุด หรือ +0.88% ปิดที่ 7,377.09 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 1.9% และหุ้นรอยัล ดัตช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 1.8% ด้วยปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นกว่า 1% ก่อนที่ตลาดหุ้นลอนดอนจะปิดทำการ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ปิดทะยานขึ้น 2.2% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 8 และเป็นสถิติช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดในรอบกว่า 5 ปี สืบเนื่องจากมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐปรับตัวลดลง และแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐปรับตัวลงเป็นสัปดาห์แรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง
นอกจากนี้ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นกันถ้วนหน้า ภายหลังจากมาร์กิตและไฉซินเปิดเผยรายงานว่า ข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 50.4 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 49.6 ในเดือนพ.ค. สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
หุ้นเกลนคอร์ พุ่งขึ้น 5% หุ้นแองโกล อเมริกันพุ่งขึ้น 4% และหุ้นริโอ ทินโต พุ่งขึ้น 4.1%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ มาร์กิต/ซีไอพีเอส เปิดเผยรายงานว่า ข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษอยู่ที่ระดับ 54.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยลดลงจากระดับ 56.3 เมื่อเดือนพ.ค.