ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (14 ก.ค.) จากแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มการก่อสร้าง นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายยังถูกกดดันจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นด้วย
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 35.05 จุด หรือ -0.47% ปิดที่ 7,378.39 จุด
สำหรับภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี FTSE 100 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% โดยปัจจัยหลักนั้นมาจากการที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนวันศุกร์ได้รับปัจจัยลบจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงตามทิศทางเดียวกันกับหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐ หลังการเปิดเผยผลกำไรของเจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก ที่แม้จะปรับตัวสูงขึ้น แต่รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งกลับปรับตัวลดลงผิดไปจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ธนาคารรายใหญ่ในยุโรปมีกำหนดการเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์ต่อๆไป ซึ่งการเปิดเผยผลประกอบการที่ค่อนข้างน่าผิดหวังของธนาคารสหรัฐเมื่อคืนนี้ทำให้นักลงทุนหันมาจับตามองธนาคารฝั่งยุโรปมากขึ้น
หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ลดลง 1.7%, เอชเอสบีซี ลดลง 1.4%, บาร์เคลย์ ลดลง 1.3%, สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ลดลง 0.9% และลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ลบ 0.7%
นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นลอนดอนยังเผชิญแรงขายหุ้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยหุ้นบาร์รัตต์ ดีเวลล็อปเมนท์ ร่วงลงถึง 2.5% ขณะที่หุ้นเพอร์ซิมม่อนร่วงลง 1.5%
ด้านหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์อย่าง แอสตร้าเซนเนก้า ปรับตัวลงต่อเนื่องอีก 0.29% หลังร่วงลง 3.5% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังมีรายงานว่านายปาสกาล โซริออต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เตรียมก้าวลงจากเก้าอี้และโยกไปดำรงตำแหน่งซีอีโอของเทวา ฟาร์มาซูติคอล อินดัสตรีส์ บริษัทเวชภัณฑ์ยักษใหญ่ของอิสราเอลและเป็นคู่แข่งของแอสตร้าเซนเนก้า
หุ้นรอยัลเมลร่วงลง 2.4% หลังบริษัทประกาศเดินหน้าแผนบำนาญฉบับใหม่ ซึ่งเปิดทางให้พนักงานไปรษณีย์เลือกระหว่างแบบกำหนดผลประโยชน์ทดแทน หรือแบบกำหนดเงินสมทบ
ขณะเดียวกัน เงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้น 1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดัชนีหุ้นลอนดอนปรับตัวลดลงในวันศุกร์ เนื่องจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลกระทบต่อรายได้และผลกำไรในต่างประเทศของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอังกฤษ