ดาวโจนส์ร่วงเกือบ 100 จุดในวันครบรอบ 30 ปี"แบล็กมันเดย์" หลังทำนิวไฮวานนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday October 19, 2017 21:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงในวันนี้ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 30 ปีของการเกิดเหตุการณ์"แบล็กมันเดย์"ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งทำให้ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงถึง 22.6% ในวันดังกล่าว โดยเป็นการร่วงลงหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นสหรัฐ

ณ เวลา 20.56 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 23,068.52 จุด ลดลง 89.08 จุด หรือ 0.38% หลังจากวานนี้ปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือระดับ 23,000 จุด

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลงนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า ยอดขาย iPhone 8 อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ลูกค้ารอการเปิดตัว iPhone X ในเดือนหน้า

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในวันนี้เป็นวันแรกในรอบ 5 วัน และทำสถิติร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.

วันนี้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว หรือวันที่ 19 ต.ค.2530 เป็นวันที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดิ่งเหว ขณะที่นักลงทุนพากันเทขายหุ้นหนีตาย ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลง 508 จุด หรือร่วงลง 22.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดภายในวันเดียวในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นสหรัฐ

เหตุการณ์ดังกล่าว ถูกเรียกว่าวัน"แบล็กมันเดย์" หรือ"จันทร์ทมิฬ" เนื่องจากส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็ดิ่งลงตามตลาดหุ้นสหรัฐ

หากเหตุการณ์แบล็กมันเดย์เกิดขึ้นในวันนี้ ก็จะเทียบเท่ากับการทรุดตัวลงของดัชนีดาวโจนส์ถึง 5,000 จุด ซึ่งเป็นช่วงการปรับตัวขึ้นของดาวโจนส์ในระยะ 18 เดือนที่ผ่านมา

หลังจากเกิดเหตุการณ์แบล็กมันเดย์ในปี 2530 เจ้าหน้าที่ในตลาดวอลล์สตรีทก็ได้หาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยตลาดหุ้นพังครืนเหมือนในอดีต ด้วยการใช้ระบบ circuit breaker ที่จะ"ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด" ด้วยการระงับการซื้อขายหุ้นเป็นระยะๆ หากทรุดตัวลงเป็นจำนวนเปอร์เซนต์ที่ได้กำหนดไว้ โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเริ่มบังคับใช้ระบบ circuit breaker ในปี 2532 แต่ก็มีการใช้จริงเพียง 1 ครั้งในวันที่ 27 ต.ค.2540 ในช่วงที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง

ถึงแม้เหตุการณ์แบล็กมันเดย์ได้เกิดขึ้นเมื่อ 30 ปีก่อน แต่นักวิเคราะห์ก็ได้เตือนว่า ประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยได้ไม่ช้าก็เร็ว เนื่องจากปัจจัยที่ทำให้เกิดการถล่มของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในขณะนั้น ก็กำลังเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นในขณะนี้ ซึ่งได้แก่ 1) การที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างมากจนอาจจะเกินปัจจัยพื้นฐาน โดยราคาหุ้นทะยานขึ้นมากกว่า 40% ในปี 2530 ก่อนที่จะพังครืนลง 2) การแข็งค่าของดอลลาร์ และ 3) กลยุทธ์การทำประกันความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ของหุ้นในพอร์ทด้วยการเทขายดัชนีหุ้นในตลาดฟิวเจอร์ส

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันนี้นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 22,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 222,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2516 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 240,000 ราย

ตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 137 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970

บริษัทเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น รายงานตัวเลขรายได้ในไตรมาส 3 ที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ เวอไรซอนเปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 98 เซนต์ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ที่ระดับ 3.172 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 3.145 หมื่นล้านดอลลาร์

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาความขัดแย้งทางการเมืองในสเปน กรณีการแยกตัวเป็นเอกราชของแคว้นกาตาลุญญา

นายมาริโอ ราฮอย นายกรัฐมนตรีสเปน เตรียมจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษในวันที่ 21 ต.ค.นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับการเข้ายึดอำนาจบริหารของแคว้นกาตาลุญญา

ด้านนายคาร์เลส ปุกเดมองต์ ผู้นำแคว้นกาตาลุญญา ได้เสนอขอเจรจากับรัฐบาลสเปนอีกครั้ง โดยเขายังคงไม่ได้ประกาศความชัดเจนภายในเส้นตายวันนี้ เกี่ยวกับการนำแคว้นกาตาลุญญาแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปน

อย่างไรก็ดี นายปุกเดมองต์ระบุว่า รัฐสภาของแคว้นกาตาลุญญาจะประกาศเอกราช หากรัฐบาลสเปนใช้มาตรา 155 แห่งรัฐธรรมนูญ ในการเพิกถอนสิทธิในการปกครองตนเองของแคว้นกาตาลุญญา และรัฐบาลกลางเข้าปกครองโดยตรง

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการแต่งตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ โดยขณะนี้มีตัวเก็ง 5 คนที่อาจได้รับการพิจารณา ซึ่งได้แก่ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ.ปีหน้า, นายแกรี โคห์น หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์, นายเควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด, นายเจอโรม พาวเวล หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดสมัยปัจจุบัน และนายจอห์น เทย์เลอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยทางทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ปธน.ทรัมป์จะประกาศการตัดสินใจในอีกไม่กี่วันข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ