ตลาดหุ้นยุโรปปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) โดยดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันและดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนต่างทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึงแม้ในระหว่างวัน แรงบวกในตลาดหุ้นยุโรปจะถูกสกัดจากรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่บางรายก็ตาม
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 1.12 จุด หรือ 0.28% ปิดที่ 396.06 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,517.97 จุด เพิ่มขึ้น 7.47 จุด หรือ +0.14% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,478.86 จุด เพิ่มขึ้น 37.93 จุด หรือ +0.28% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,560.35 จุด เพิ่มขึ้น 5.03 จุด หรือ +0.07%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับอานิสงส์จากการที่สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยค่าเงินยูโรร่วงลง -0.4118% สู่ระดับ 1.1605 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1658 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กในคืนวันพฤหัสบดี ส่วนภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ยูโรอ่อนค่าลงราว 0.1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์
หุ้นโซซิเอเต เจเนอราล ร่วงลง 4.1% หลังธนาคารยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสรายนี้ เปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 3 ของทางธนาคารทรุดฮวบลง 15% สู่ระดับ 932 ล้านยูโร เนื่องจากได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยต่ำและปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ
หุ้นเวสตัส วินด์ ซิสเต็มส์ บริษัทผู้ผลิตกังหันลมรายใหญ่ของเดนมาร์ก ดิ่งลง 8.8% หลังสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรสสหรัฐได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงแผนปรับแก้กฎเกณฑ์การลดหย่อนภาษีสำหรับพลังงานหมุนเวียนด้วย โดยในตลาดหุ้นสเปน หุ้นซีเมนส์ กาเมสซา รีนิวเอเบิล อีเนอร์จี ผู้ผลิตกังหันลมรายใหญ่ของสเปน ร่วงลง 3.6%
หุ้นเรโนลต์ พุ่งขึ้น 3.9% หลังผู้ผลิตยานยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติฝรั่งเศสเปิดเผยว่า บริษัทได้ซื้อหุ้นบางส่วนของตนกลับคืนมาจากรัฐบาลแดนน้ำหอม