ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง เหตุผิดหวังผลประกอบการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday November 11, 2017 06:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (10 พ.ย. ) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ประกอบกับเงินยูโรแข็งค่าขึ้นกดดันตลาด นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับกฎหมายปฏิรูปภาษีในสหรัฐยังได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปด้วยเช่นกัน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 1.38 จุด หรือ -0.35% ปิดที่ 388.69 จุด สำหรับตลอดสัปดาห์ ดัชนีร่วงลง 1.8% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 3 เดือน

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดวันทำการล่าสุดที่ 5,380.72 จุด ลดลง 27.03 จุด, -0.50% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,127.47 จุด ลดลง 55.09 จุด, -0.42% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,432.99 จุด ลดลง 51.11 จุด, -0.68%

ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยริชมอนด์ บริษัทแม่ของแบรนด์สินค้าหรูระดับไฮเอนด์อย่าง คาร์เทียร์ และ มงต์บลอง ร่วงลง หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเบอร์เบอร์รีก็ยังคงร่วงลงต่อเนื่อง หลังจากที่ถูกเทขายจนหุ้นดิ่งลงไปถึง 10% เมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบ 5 ปี ภายหลังบริษัทออกรายงานเตือนว่า ยอดขายของบริษัทอาจจะไม่เติบโตจนกว่าจะถึงปีงบการเงิน 2564

นอกจากนี้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่การบังคับใช้มาตรการปรับลดอัตราภาษีของสหรัฐอาจล่าช้าออกไป ซึ่งสวนทางความตั้งใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้การปรับลดอัตราภาษีมีผลบังคับใช้โดยทันทีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ โดยหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานเมื่อวันก่อนว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาเสนอให้มีการชะลอการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 35% สู่ระดับ 20% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงปี 2562

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจยุโรปที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ สำนักงานสถิติฝรั่งเศส (Insee) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของฝรั่งเศสปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. มากกว่าคาดการณ์เล็กน้อย ด้านผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษเดือนก.ย. ขยายตัว 2.5% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สูงกว่าการคาดการณ์ที่ 1.8%

ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาดการณ์นั้นได้หนุนเงินยูโรและเงินปอนด์ให้ปรับตัวขึ้น

ยูโรปรับตัวขึ้นแตะ 1.1656 ดอลลาร์ จาก 1.1643 ดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี ขณะที่ตลอดสัปดาห์ค่าเงินยูโรแข็งขึ้นราว 0.4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.32090 ดอลลาร์ และปรับตัวขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับยูโร สู่ระดับ 1.13330 ยูโร

ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นนั้นไม่เป็นผลดีต่อบรรดาบริษัทข้ามชาติหรือบริษัทส่งออก เพราะทำให้สินค้าของตนมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อในต่างประเทศ นอกจากนี้ รายได้หรือกำไรในต่างประเทศจะลดลงเมื่อแปลงกลับมาเป็นสกุลเงินยูโรและปอนด์

หุ้นริชมอนด์ร่วง 3.8% หุ้นเบอร์เบอร์รีลบ 2.29%

หุ้นบริษัทค้าปลีกอังกฤษ มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ ลดลง 1.9% และไพรมาร์ก ห้างขายสินค้าราถูก ลดลง 1.5%

หุ้นบริษัทยา แกล็กโซสมิทไคล์น ร่วง 2.1% แอสตร้าเซนเนก้า ลบ 1.9% เมอร์ค ลบ 2.26%

หุ้นกลุ่มพลังงาน บีพีร่วง 1.5% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ลบ 1.3% หุ้นอาร์ดับเบิ้ลยูอี กลุ่มพลังงาน ลบ 1.88%

หุ้นเปอโยต์ ผู้ผลิตรถสัญชาติฝรั่งเศส ร่วง 3.91% หุ้นมิชลิน ผู้ผลิตยางรถยนต์ ลบ 1.84% หุ้นลาฟาร์จโฮลซิม บริษัทผลิตปูนซีเมนต์จากสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส ลบ 1.56%

หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นสวนทางกลุ่มอื่นๆ ดอยซ์แบงก์บวก 3.63% หุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ บวก 0.22%

หุ้นอาดิดาสบวก 2.84% หุ้นลุฟท์ฮันซ่าบวก 2.42%

หุ้นอาร์เซลอร์มิตตัล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของโลกที่ตั้งอยู่ในลักเซมเบิร์กและจดทะเบียนในตลาดหุ้นเนเธอร์แลนด์ ปรับตัวขึ้น 3.37% หลังบริษัทเผยผลกำไรไตรมาสสามเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าซึ่งสูงเกินคาด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ