ดาวโจนส์เปิดแดนลบ แต่ฟื้นตัวต่อมา ขณะจับตาผลประกอบการ,ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี,วิกฤตชัตดาวน์

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 7, 2017 22:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดในแดนลบ แต่สามารถฟื้นตัวขึ้นในแดนบวกในเวลาต่อมา ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการ, ความคืบหน้าของร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีสหรัฐ รวมทั้งการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณในสภาคองเกรสเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล

ณ เวลา 21.43 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,170.43 จุด เพิ่มขึ้น 29.52 จุด หรือ 0.12%

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา วุฒิสภาสหรัฐมีมติรับรองร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีด้วยคะแนนเสียง 51-49 โดยวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันทุกคนยกเว้นนายบ็อบ คอร์กเกอร์ ต่างลงคะแนนเสียงรับรองร่างกฎหมายฉบับนี้ ขณะที่วุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตทุกคนลงคะแนนเสียงไม่รับรองร่างกฎหมายดังกล่าว

หลังจากนี้ สภาคองเกรสสหรัฐจะต้องรวมร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรเป็นร่างเดียวกัน และให้การอนุมัติ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามเป็นกฎหมายต่อไป

ความแตกต่างสำคัญระหว่างร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในฉบับของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรคือ ร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดให้การปรับลดภาษีมีผลบังคับใช้ทันทีในปีหน้า ในขณะที่ร่างของวุฒิสภาจะชะลอการปรับลดภาษีจนกว่าจะถึงปี 2562

ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์เตรียมจัดการประชุมกับแกนนำของพรรคเดโมแครตในวันนี้ เพื่อหาทางประสานความขัดแย้งเกี่ยวกับร่างงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล โดยหวังหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล อันเนื่องจากการขาดแคลนงบประมาณ หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติร่างงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล

นางแนนซี เปโลซี ซึ่งเป็นผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา จะประชุมกับปธน.ทรัมป์ และแกนนำของพรรครีพับลิกันในวันนี้ เพื่อขจัดความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับร่างงบประมาณรายจ่าย โดยการประชุมดังกล่าวจะมีขึ้นในเวลา 15.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนนี้เวลา 03.00 น.ตามเวลาไทย

ปธน.ทรัมป์ และสภาคองเกรสเผชิญเส้นตายในเวลาเที่ยงคืนวันพรุ่งนี้ ตามเวลาสหรัฐ ในการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล ซึ่งหากสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ก็จะส่งผลให้มีการปิดหน่วยงานรัฐบาลบางแห่ง

ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะจัดการประชุมเพื่อลงมติต่อร่างกฎหมายงบประมาณในวันนี้ ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถมีงบใช้จ่ายจนถึงวันที่ 22 ธ.ค. ขณะที่สมาชิกสภานิติบัญญัติหารือกันเพื่อหาทางออกในระยะยาว

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาปัจจัยการเมืองสหรัฐ หลังจากที่สื่อรายงานว่า นายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เตรียมให้การซัดทอดนายทรัมป์ว่า เป็นผู้สั่งการให้เขาทำการติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัสเซียในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่แล้ว

นายฟลินน์ยังยอมรับว่า เขาได้ให้การเท็จต่อสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับนายเซอร์เก คิซยัค เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐ

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังให้ความสนใจต่อการกล่าวสุนทรพจน์ของนายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ในวันนี้ รวมทั้งการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันพรุ่งนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

สำหรับการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในวันนี้นั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันในสัปดาห์ที่แล้ว โดยลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 236,000 ราย

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 240,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว

ตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 144 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2513

บริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ประกาศปลดพนักงาน 12,000 ตำแหน่งในธุรกิจผลิตไฟฟ้าทั่วโลก เพือรับมือกับอุปสงค์ที่ลดลงสำหรับโรงงานผลิตไฟฟ้าที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน

GE คาดว่าการปลดพนักงานดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทประหยัดเงินได้ 1 พันล้านดอลลาร์ในปีหน้า

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ GE มีขึ้นหลังจากที่บริษัทประกาศปรับลดการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสลง 50% สู่ระดับ 12 เซนต์/หุ้น จากเดิมที่ 24 เซนต์/หุ้น ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค. โดยนายจอห์น แฟลนเนอรี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GE กล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ก็มีความจำเป็นต่อการบริหารกระแสเงินสดของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ