ดาวโจนส์ดีดตัวทำนิวไฮ ขานรับผลประกอบการสดใส

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday January 26, 2018 22:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันนี้ ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

ในบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ซึ่งได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 นั้น บริษัทจำนวน 77% รายงานตัวเลขกำไรสูงกว่าคาดการณ์ ขณะที่ 79% รายงานตัวเลขรายได้ที่สูงกว่าคาด ขณะที่ผลการสำรวจระบุว่า บริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12.4% ในไตรมาส 4

ณ เวลา 21.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,464.84 จุด เพิ่มขึ้น 72.05 จุด หรือ 0.27%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้

บริษัทฮันนีเวล, อินเทล และร็อคเวลล์ต่างรายงานตัวเลขกำไร และรายได้ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

นักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจทั้งปีที่แล้วมีการขยายตัวสูงกว่าปีก่อนหน้านี้ ขณะที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะได้รับแรงหนุนจากมาตรการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ที่ระดับ 2.6% โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3% และต่ำกว่าระดับ 3.2% ในไตรมาส 3

การชะลอตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 4 มีสาเหตุจากการลดลงของการลงทุนในสินค้าคงคลัง และการพุ่งขึ้นของตัวเลขการนำเข้าสินค้า

หาก GDP ของสหรัฐมีการขยายตัว 3% ในไตรมาส 4 ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 3% ติดต่อกัน 3 ไตรมาสนับตั้งแต่ปี 2558 หรือนับตั้งแต่สมัยของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ขณะที่ปธน.ทรัมป์ตั้งเป้าว่าจะผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้มีการขยายตัวปีละ 3%

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว, 3.1% ในไตรมาส 2 และ 3.2% ในไตรมาส 3

เมื่อพิจารณาทั้งปีที่แล้ว เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.3% หลังจากที่เติบโตเพียง 1.5% ในปี 2559

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 3% ในปีนี้ ตามเป้าหมายของรัฐบาลทรัมป์ จากปัจจัยบวกของดอลลาร์ที่อ่อนค่า และเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่ง รวมทั้งแรงกระตุ้นจากมาตรการปฏิรูปภาษีของรัฐบาล

ปธน.ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ในวันนี้ โดยได้กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งได้ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างมาก หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในปีที่แล้ว

ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า มาตรการปฏิรูปภาษีของเขาได้ทำให้บริษัทสหรัฐกลับมาลงทุนในประเทศ และเขายังได้กล่าวเชิญชวนประเทศต่างๆ เข้าลงทุนในสหรัฐ

ปธน.ทรัมป์ยังได้กล่าวปกป้องนโยบาย"อเมริกาต้องมาก่อน" โดยกล่าวว่า คำว่า'อเมริกาต้องมาก่อน' ไม่ได้หมายความว่า สหรัฐคำนึงถึงผลประโยชน์อเมริกาเท่านั้น เพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัว เศรษฐกิจโลกก็ขยายตัวเช่นกัน

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกล่าวย้ำถึงการทำการค้าที่เสรี และเป็นธรรม

ปธน.ทรัมป์นับเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่เข้าร่วมการประชุม WEF นับตั้งแต่ที่อดีตปธน.บิล คลินตันเข้าร่วมการประชุมในปี 2543

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 2.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.8%

ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา

การปรับตัวขึ้นของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนได้รับผลบวกจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์

อย่างไรก็ดี ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ ลดลง 0.3% ในเดือนธ.ค. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ