ดาวโจนส์พักฐาน หลังพุ่งแรงก่อนหน้านี้ ขณะตลาดกังวลบอนด์ยิลด์พุ่ง,แอปเปิลร่วง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 29, 2018 22:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์เปิดแดนลบในวันนี้ ซึ่งเป็นการพักฐาน หลังจากที่ทะยานขึ้นอย่างมากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ณ เวลา 21.51 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,595.43 จุด ลดลง 21.28 จุด หรือ 0.08%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานดิ่งลงนำตลาดวันนี้

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดเมื่อวันศุกร์ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังสหรัฐเผยตัวเลขจีดีพีที่ต่ำกว่าคาดเพียงเล็กน้อย แต่นักลงทุนมองว่ายังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน

สำหรับการซื้อขายในวันนี้ ตลาดจะถูกกดดันจากการร่วงลงเกือบ 2% ของหุ้นแอปเปิล หลังสื่อตีข่าวบริษัทเตรียมปรับลดยอดขาย iPhone X

ทั้งนี้ สำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่นรายงานว่า บริษัทแอปเปิล อิงค์ได้แจ้งซัพพลายเออร์ว่า ทางบริษัทจะปรับลดเป้าการผลิต iPhone X สำหรับไตรมาสแรกในปีนี้ลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 20 ล้านเครื่อง เนื่องจากยอดขายที่ต่ำกว่าคาดในยุโรป สหรัฐ และจีน

อย่างไรก็ดี คาดว่าแอปเปิลจะยังคงเป้าการผลิต iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone 7 ที่ระดับ 30 ล้านเครื่อง

ราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์อีโคโนมิค เดลี่ ของไต้หวันที่ว่า ยอดขายของ iPhone X จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากที่มีการเปิดตัวในเดือนพ.ย.

อีโคโนมิค เดลี่รายงานว่า แอปเปิลจะปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขาย iPhone X ในไตรมาสแรก สู่ระดับ 30 ล้านเครื่อง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 50 ล้านเครื่อง

นักวิเคราะห์ระบุว่า กระแสความสนใจใน iPhone X ในตลาดจีน เทียบไม่ได้กับความคลั่งไคล้ iPhone 6 ที่เปิดตัวในปี 2557 ซึ่งได้ช่วยหนุนผลประกอบการของแอปเปิลในประเทศจีนเป็นอย่างมากในปีดังกล่าว

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่นักท่องเว็บโพสต์ลงใน Weibo ซึ่งเป็นเว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์ชื่อดังของจีน ก็พบว่า มีการระบุถึง iPhone X เพียง 4.97 ล้านครั้งจนถึงเดือนธ.ค. เทียบกับจำนวนมากกว่า 11 ล้านครั้งสำหรับ iPhone 6 ภายในช่วงเวลาเท่ากันในปี 2557

ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ร่วงลงเกือบ 1% ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ฉุดตลาดในการซื้อขายวันนี้

นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นอย่างมากในวันนี้ จากการที่นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้น

ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.716% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2557 หลังจากที่แตะระดับ 2.430% ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว

ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.954% ในวันนี้

ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน

การอ่อนค่าของดอลลาร์ในเดือนนี้ ช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนวิตกว่าจะเป็นปัจจัยลดอุปสงค์พันธบัตร ขณะที่กระตุ้นเงินเฟ้อ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปี พุ่งทะลุระดับ 2.7% ในวันนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่ระดับ 2.8% ต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 30 ปี มีแนวโน้มดีดตัวสู่ระดับ 3.0%

ตลาดการเงินเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ จากการคาดการณ์การดีดตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการขยายตัวมากขึ้น

CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 23% ในวันศุกร์ และ 10% ในเดือนที่แล้ว

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนพ.ย.

หากมีการปรับค่าตามเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค.

ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.5% เช่นกันในเดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ