ดาวโจนส์ทรุดกว่า 300 จุดต่อเนื่องจากวานนี้ กังวลเฟดขึ้นดบ.เร็วกว่าคาด หลังบอนด์ยิลด์พุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 30, 2018 22:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงกว่า 300 จุดในวันนี้ ต่อเนื่องจากที่ดิ่งลงแรงเมื่อวานนี้ ขณะที่นักลงทุนกังวลต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

ณ เวลา 22.23 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,124.55 จุด ดิ่งลง 314.93 จุด หรือ 1.19%

ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มทำสถิติทรุดตัวลงมากที่สุดในช่วง 2 วันนับตั้งแต่เดือนก.ย.2559

หุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพดิ่งลงนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก โดยได้รับผลกระทบจากข่าวที่ว่า บริษัทอเมซอน, เจพีมอร์แกน เชส และเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ประกาศแผนจับมือกันตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะไม่มุ่งเน้นการแสวงหากำไร แต่จะส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน ด้วยการลดรายจ่ายด้านการรักษาสุขภาพ

ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ยังคงดีดตัวขึ้นในวันนี้ แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557

ทั้งนี้ การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลให้นักลงทุนวิตกว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นนั้น มาจากจากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้น

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปี พุ่งทะลุระดับ 2.7% เมื่อคืนนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่ระดับ 2.8% ต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 30 ปี มีแนวโน้มดีดตัวสู่ระดับ 3.0%

ตลาดการเงินได้เพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 23% ในวันศุกร์ และ 10% ในเดือนที่แล้ว

โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะเกิดการปรับฐาน หลังจากพุ่งแรงในช่วงที่ผ่านมา และบริษัทได้แนะนำให้ลูกค้าเตรียมตัวรับมือกับการปรับฐานที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

"มีความเป็นไปได้สูงที่ตลาดจะเกิดการปรับฐานในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ดัชนี Goldman Sachs Bull/Bear Market Indicator กำลังดีดตัวขึ้น" นายปีเตอร์ ออพเพนไฮเมอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์หุ้นโลกของโกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงาน

"ดัชนี S&P 500 ได้เข้าสู่ช่วงขาขึ้นเป็นเวลายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1929 โดยยังไม่มีการปรับฐานมากกว่า 5% ซึ่งการปรับฐาน 10% หรือมากกว่านั้นภายในช่วงภาวะตลาดกระทิง ก็เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยค่าเฉลี่ยของการปรับฐานคือ 13% เป็นเวลา 4 เดือน และใช้เวลาอีก 4 เดือนในการฟื้นตัว" รายงานระบุ

นอกจากนี้ ค่าดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาด พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว

นักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 30-31 ม.ค.นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560

นายแกรี่ โคห์น ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะกล่าวถึงแผนการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐ วงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรส

นอกจากนี้ นายโคห์นยังกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์จะกล่าวถึงการลดขั้นตอนสำหรับกระบวนการอนุมัติการก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค โดยจะลดเวลาอนุมัติจากปัจจุบันที่ต้องใช้เวลา 7-10 ปี ให้เหลือเวลาไม่ถึง 2 ปี

นายโคห์นเสริมว่า ปธน.ทรัมป์อาจเสนอให้ลดเวลาลงเหลือไม่ถึง 1 ปี

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์มีกำหนดแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในวันนี้ เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย

การแถลงนโยบายประจำปีดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกของปธน.ทรัมป์ หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งในปีที่แล้ว โดยจะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ต่อชาวสหรัฐทั่วประเทศ ขณะที่สำนักข่าว CNN ก็จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก

หัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสของปธน.ทรัมป์คือ "การสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภาคภูมิใจ" โดยจะเน้นหนักใน 5 ประเด็นหลัก ซึ่งได้แก่ การจ้างงานและเศรษฐกิจ, การก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคของประเทศ, นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ, การค้า และความมั่นคงแห่งชาติ

คาดว่าปธน.ทรัมป์จะเกริ่นนำด้วยการกล่าวถึงความสำเร็จในการบริหารประเทศของเขาในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดหุ้นพุ่งขึ้น และการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยได้รับแรงหนุนจากการผลักดันมาตรการปรับลดภาษี และการปรับลดกฎระเบียบ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ