ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 362.59 จุด วิตกบอนด์ยีลด์พุ่ง,หุ้นเฮลธ์แคร์ดิ่งหนัก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 31, 2018 06:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (30 ม.ค.) หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพ และกลุ่มพลังงาน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,076.89 จุด ดิ่งลง 362.59 จุด หรือ -1.37% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,822.43 จุด ลดลง 31.10 จุด หรือ -1.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,402.48 จุด ลดลง 64.02 จุด หรือ -0.86%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.712% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.974%

ทั้งนี้ การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรส่งผลให้นักลงทุนวิตกว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยปัจจัยล่าสุดที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ มาจากรายงานของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐทะยานขึ้นสู่ระดับ 125.4 ในเดือนม.ค. จากระดับ 122.1 ในเดือนธ.ค. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จะลดลงสู่ระดับ 123.1

ตลาดการเงินได้เพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 23% ในวันศุกร์ และจากระดับ 10% ในเดือนที่แล้ว

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพ หรือกลุ่มเฮลธ์แคร์ หลังจากหลังจากมีรายงานว่า บริษัทอเมซอน, เจพีมอร์แกน เชส และเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ประกาศแผนจับมือกันตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะไม่มุ่งเน้นการแสวงหาผลกำไร แต่จะส่งเสริมสุขภาพของพนักงาน ด้วยการลดรายจ่ายด้านการรักษาสุขภาพ โดยอเมซอน, เจพีมอร์แกน และเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ มีพนักงานรวมกันทั่วโลกมากกว่า 1.1 ล้านคน

ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ร่วงลง 2% ขณะที่หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ ร่วงลง 4.4% หุ้นซิกนา คอร์ป ดิ่งลง 7.2% หุ้นแอนเธม อิงค์ ร่วงลง 5.3% และหุ้นเอ็ทนา อิงค์ ร่วงลง 3%

หุ้นแมคโดนัลด์ ร่วงลง 3% แม้บริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 5.34 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 5.22 พันล้านดอลลาร์

หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 3.1% แม้ว่าไฟเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 62 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4/2560 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 56 เซนต์/หุ้น

หุ้นแอปเปิล ปรับตัวลง 0.6% หลังจากวอลล์สตรีท เจอร์นัล และหนังสือพิมพ์นิกเกอิของญี่ปุ่นรายงานว่า แอปเปิลเตรียมปรับลดเป้าการผลิต iPhone X สำหรับไตรมาสแรกในปีนี้ลงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากยอดขายที่ต่ำกว่าคาดการณ์ในยุโรป สหรัฐ และจีน

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดนิวยอร์ก เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในสหรัฐ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.4% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 5.3% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 6.4% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ปรับตัวลง 1.2%

นักลงทุนจับตาผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในวันนี้ เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย ในหัวข้อ "การสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภาคภูมิใจ" โดยจะเน้นหนักใน 5 ประเด็นหลัก ซึ่งได้แก่ การจ้างงานและเศรษฐกิจ, การก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคของประเทศ, นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ, การค้า และความมั่นคงแห่งชาติ

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค.จาก ADP, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนม.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ