ดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งกว่า 100 จุด บ่งชี้วอลล์สตรีทดีดตัว ขานรับผลประกอบการแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 24, 2018 20:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าพุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะดีดตัวขึ้นในคืนนี้ ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงจับตาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3%ในวันนี้

ณ เวลา 20.15 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าบวก 114 จุด หรือ 0.47% สู่ระดับ 24,528 จุด

บริษัทล็อคฮีด มาร์ติน ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรบ และอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก เปิดเผยกำไรและรายได้พุ่งขึ้นเกินคาดในไตรมาส 1 โดยได้แรงหนุนของยอดขายเครื่องบินขับไล่ F-35 โดยบริษัทมีรายได้ที่ระดับ 1.164 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.124 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทมีกำไร 4.02 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.40 ดอลลาร์/หุ้น

บริษัทเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น รายงานตัวเลขกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยทางบริษัทมีรายได้ที่ระดับ 3.178 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 3.125 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทมีกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 1.17 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.10 ดอลลาร์

ราคาหุ้นแคทเทอร์ พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้นมากกว่า 4% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในวันนี้ ขานรับตัวเลขกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 ที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทมีกำไร 2.82 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.13 ดอลลาร์/หุ้น นอกจากนี้ บริษัทระบุรายได้ที่ระดับ 1.29 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.21 หมื่นล้านดอลลาร์

บริษัทโคคา โคล่า เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยบริษัทมีกำไรที่ระดับ 47 เซนต์/หุ้น ขณะที่มีรายได้ 7.6 พันล้านดอลลาร์ ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจะมีกำไรที่ระดับ 46 เซนต์/หุ้น และมีรายได้ 7.34 พันล้านดอลลาร์

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังคงปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 3%ในวันนี้

ณ เวลา 20.09 น.ตามเวลาไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.992% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.158%

ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน

หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.00% ก็จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2557 และถ้าหากทะยานขึ้นเหนือระดับ 3.04% ก็จะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2554

นักลงทุนทั่วโลกต่างมีความวิตกต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่กำลังดีดตัวขึ้นใกล้แตะระดับ 3% ซึ่งระดับดังกล่าวได้เคยส่งผลให้เกิดแรงเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้น, พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์ในเดือนก.พ.

ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินพุ่งขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และตลาดหุ้นทั่วโลก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ

นักลงทุนแห่เทขายพันธบัตร หลังสูญเสียความน่าดึงดูดในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จากการคลายความวิตกในคาบสมุทรเกาหลี และสถานการณ์ในซีเรีย ขณะที่นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ จากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานานหลายปี จากการที่เฟด และธนาคารกลางของประเทศต่างๆ พากันใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรในตลาด หลังเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในปี 2551 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการใช้นโยบายผ่อนคลายดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างเคยชินกับภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และพากันเข้าซื้อหุ้นในตลาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นทั่วโลก เนื่องจากคาดว่าเฟดจะยังคงแทรกแซงตลาดต่อไปด้วยการเข้าซื้อพันธบัตร

อย่างไรก็ดี หลังจากที่เฟดประกาศปรับลดงบดุล และลดวงเงินการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก็ได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มดีดตัวขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะปรับตัวอยู่ในช่วง 3.0-3.5% ในปลายปีนี้

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้น จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินดีดตัวขึ้น จะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการกู้ยืมมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการลดการลงทุน และลดการจ้างงาน ขณะที่ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะซบเซา และถดถอยในที่สุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ