ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดร่วง 424.56 จุด วิตกบอนด์ยีลด์พุ่งทะลุ 3% หนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 25, 2018 06:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ (24 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 3% เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปีนั้น จะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้น และอาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงแคทเธอร์พิลลาร์ และล็อคฮีด มาร์ติน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,024.13 จุด ร่วงลง 424.56 จุด หรือ -1.74% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,634.56 จุด ลดลง 35.73 จุด หรือ -1.34% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,007.35 จุด ลดลง 121.25 จุด หรือ -1.70%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งทะลุระดับ 3% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.2557 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.001% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.171%

การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินดีดตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนมีต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้น อันจะนำไปสู่การลดการลงทุน และลดการจ้างงาน ขณะเดียวกันอาจทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะซบเซา และถดถอยในที่สุด ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงสำหรับอัตราเงินกู้จำนอง และอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ และเครื่องมือทางการเงินในระบบ

นักวิเคราะห์จากบริษัททาวเวอร์ บริดจ์ แอดไวเซอร์กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจเป็นปัจจัยผลักดันให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ความกังวลในเรื่องดังกล่าวยังได้บดบังปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทล็อคฮีด มาร์ติน, เวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น, แคทเธอร์ พิลลาร์ และโคคา-โคล่า ต่างเปิดเผยตัวเลขกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

หุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ปิดตลาดร่วงลง 6.2% หลังจากที่พุ่งขึ้นในช่วงแรก ภายหลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2561 ที่ระดับ 2.82 ดอลลาร์ มากกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.13 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ระดับ 1.29 หมื่นล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.21 หมื่นล้านดอลลาร์

หุ้นโคคา-โคล่า ร่วงลง 2.1% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2561 ที่ระดับ 47 เซนต์ ขณะที่มีรายได้ 7.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 46 เซนต์ และมีรายได้ 7.34 พันล้านดอลลาร์

หุ้นเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น ดีดตัวขึ้น 2.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1/2561 ที่ระดับ 3.178 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 3.125 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 1.17 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.10 ดอลลาร์

หุ้นล็อคฮีด มาร์ติน ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรบ และอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก ร่วงลง 6.1% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1/2561 ที่ระดับ 1.164 หมื่นล้านดอลลาร์ มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.124 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ระดับ 4.02 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.40 ดอลลาร์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและอยู่ในความสนใจของนักลงทุนเมื่อคืนนี้ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่เดือนมี.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 694,000 ยูนิต หลังจากแตะระดับ 667,000 ยูนิตในเดือนก.พ. ขณะที่ผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 128.70 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 127 ในเดือนมี.ค. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะร่วงลงสู่ระดับ 126

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมี.ค., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2561 และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ