ดาวโจนส์ดีดตัว ขณะเจ้าหน้าที่สหรัฐมองต่างมุมกรณีเรียกเก็บภาษีต่อประเทศคู่ค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 26, 2018 21:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในวันนี้ หลังเจ้าหน้าที่สหรัฐแสดงความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐต่อประเทศคู่ค้า

ณ เวลา 21.24 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,314.02 จุด เพิ่มขึ้น 61.22 จุด หรือ 0.25%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก

ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การทำสงครามการค้าอาจลุกลามเป็นวงกว้าง หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศแผนการออกมาตรการจำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีนเท่านั้น

นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ทวีตข้อความระบุว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า ปธน.ทรัมป์วางแผนที่จะห้ามบริษัทของจีนเข้าลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีของสหรัฐ และจะห้ามบริษัทสหรัฐส่งออกเทคโนโลยีให้กับจีน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง

วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า กระทรวงการคลังสหรัฐกำลังร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อห้ามไม่ให้บริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นอยู่อย่างน้อย 25% เข้าซื้อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติและกระทรวงพาณิชย์ยังได้ร่วมกันจัดทำแผนเพื่อควบคุมการส่งออกให้เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันการส่งออกเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในภาคอุตสาหกรรมไปยังจีน

วอลล์สตรีท เจอร์นัลระบุว่า สหรัฐเตรียมประกาศมาตรการดังกล่าวภายในสัปดาห์นี้ เพื่อตอบโต้นโยบาย"เมดอินไชน่า 2025" ของจีนที่ต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยี

อย่างไรก็ดี นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐยังไม่มีแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนและประเทศอื่นๆในขณะนี้ พร้อมระบุว่า ตลาดมีปฏิกริยามากเกินไปต่อกระแสข่าวที่ว่า คณะทำงานของปธน.ทรัมป์จะใช้มาตรการจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ

ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ขู่ว่า บริษัทฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ของสหรัฐ จะถูกเก็บภาษี"ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน" หากบริษัทตัดสินใจโยกฐานการผลิตออกจากสหรัฐ

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังระบุว่า ฮาร์ลีย์-เดวิดสันใช้ข้ออ้างด้านภาษีเพื่อเป็นเหตุผลในการโยกย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย

"เมื่อต้นปีนี้ ฮาร์ลีย์-เดวิดสันบอกว่าจะย้ายการผลิตจากแคนซัส ซิตี้ไปยังประเทศไทย ซึ่งการตัดสินใจตอนนั้นเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้า ดังนั้นพวกเขากำลังนำเรื่องภาษี/การทำสงครามการค้ามาใช้เป็นข้ออ้าง" อีกข้อความหนึ่งในทวิตเตอร์ระบุ

ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความแสดงความประหลาดใจต่อการตัดสินใจของฮาร์ลีย์-เดวิดสันในการโยกฐานการผลิตออกจากสหรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการเก็บภาษีจากสหภาพยุโรป (EU)

"ผมรู้สึกประหลาดใจที่ฮาร์ลีย์-เดวิดสันเป็นบริษัทแรกที่ยกธงขาว ผมได้ต่อสู้อย่างหนักเพื่อพวกเขา และในที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องการจ่ายภาษีในการขายมอเตอร์ไซค์เข้าสู่ EU ซึ่งได้สร้างความเสียหายทางการค้าอย่างมากต่อเรา โดยภาษีเป็นเพียงข้ออ้างของฮาร์ลีย์ ขอให้อดทนเข้าไว้" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

ทั้งนี้ บริษัทฮาร์ลีย์-เดวิดสัน แถลงว่า ทางบริษัทจะโยกฐานการผลิตออกจากสหรัฐสำหรับการส่งออกมอเตอร์ไซค์ไปยัง EU เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการเก็บภาษีจาก EU ต่อมอเตอร์ไซค์ที่นำเข้าจากสหรัฐ

EU ประกาศจัดเก็บภาษี 25% ต่อสินค้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงมอเตอร์ไซค์ เพื่อตอบโต้มาตรการของสหรัฐในการจัดเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมจาก EU

ฮาร์ลีย์-เดวิดสันประเมินว่ามาตรการเก็บภาษีของ EU จะทำให้มอเตอร์ไซค์ของบริษัทมีต้นทุนเฉลี่ยต่อคันเพิ่มขึ้น 2,200 ดอลลาร์ แต่บริษัทจะไม่ขึ้นราคาขายส่งหรือขายปลีกต่อดีลเลอร์เพื่อชดเชยต้นทุนเกี่ยวกับภาษีดังกล่าว

นอกจากนี้ ฮาร์ลีย์-เดวิดสันยังคาดการณ์ว่า มาตราการภาษีของ EU จะทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 90-100 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ปัจจุบัน ฮาร์ลีย์-เดวิดสันมีโรงงานประกอบมอเตอร์ไซค์นอกสหรัฐจำนวน 2 แห่งคือบราซิลและอินเดีย ขณะที่กำลังสร้างโรงงานในไทยในเขตนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง

บริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) เปิดเผยในวันนี้ว่า ทางบริษัทเตรียมขายธุรกิจดูแลสุขภาพ รวมทั้งธุรกิจให้บริการด้านน้ำมัน เพื่อพุ่งความสนใจต่อธุรกิจผลิตเครื่องยนต์ไอพ่น, โรงไฟฟ้า และพลังงานสะอาด

ทั้งนี้ GE จะขายธุรกิจดูแลสุขภาพในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า และขายบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ธุรกิจให้บริการด้านน้ำมัน ในช่วงเวลา 2-3 ปี

GE หวังว่าการดำเนินการดังกล่าวจะสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น และสร้างความแข็งแกร่งต่อสถานะการเงินของบริษัทโดยการลดหนี้ และเพิ่มเงินสด

ราคาหุ้น GE พุ่งขึ้น 6% ในการซื้อขายวันนี้ ขานรับข่าวการขายกิจการดังกล่าว

ขณะเดียวกัน หุ้นของ GE ได้ถูกถอดออกจากดัชนีดาวโจนส์ในวันนี้ หลังจากที่ได้ถูกใช้ในการคำนวณดัชนีมายาวนานกว่า 100 ปี

ทั้งนี้ GE นับเป็นหุ้นกลุ่มแรกสุดที่ได้รับการคำนวณในดัชนีดาวโจนส์ เมื่อมีการก่อตั้งดัชนีในปี 1896 แต่หลังจากนั้น GE ก็ได้ถุกถอดออกจากดัชนีในปี 1898 ก่อนที่จะกลับเข้าไปใหม่ในปี 1899 แต่ก็ถูกถอดอีกครั้งในปี 1901 และกลับเข้าสู่ดัชนีในปี 1907 จนถึงเมื่อวานนี้ โดยได้อยู่ในดัชนีดาวโจนส์มากกว่า 100 ปี ก่อนที่จะถูกถอดออก และแทนที่โดยบริษัทวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยา

ก่อนหน้านี้ GE เคยเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดในสหรัฐ โดยเป็นยักษ์ใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเจ้าของสื่อใหญ่อย่าง NBC Universal และ GE Capital ซึ่งเป็นบริษัทการเงินขนาดใหญ่ แต่หลังจากนั้น GE ก็ต้องขายธุรกิจทั้ง 2 ออก เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจากวิกฤตการเงินในปี 2008 ท่ามกลางภาวะการแข่งขันอย่างหนักในตลาด

นอกจากนี้ GE ยังได้ประกาศขายกิจการหลอดไฟ และธุรกิจสร้างทางรถไฟในเวลาต่อมา

GE ซึ่งมีพนักงานราว 300,000 คนทั่วโลก อยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างบริษัท ซึ่งทำให้มีการขายกิจการบางส่วนออกไป พร้อมกับปรับเปลี่ยนตัวผู้บริหาร ขณะที่ทำการปลดพนักงาน 12,000 คน และประกาศลดการจ่ายเงินปันผลถึง 50% ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่นต่ออนาคตของบริษัท และได้เทขายหุ้น GE ออกมาอย่างหนัก จนทำให้ GE เป็นหุ้นที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในดัชนีดาวโจนส์นับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยราคาหุ้นทรุดตัวลง 26% ขณะที่มูลค่าตลาดลดลงมากกว่า 50% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

บริษัท S&P Dow Jones Indices ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ S&P Global และเป็นผู้บริหารจัดการดัชนีดาวโจนส์ ระบุว่า การปรับเปลี่ยนหุ้นในการคำนวณดัชนีดาวโจนส์ครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อสะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจดูแลรักษาสุขภาพ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ