(REPEAT) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 55.36 จุด รับแรงซื้อหุ้นกลุ่มวัสดุ-ธนาคาร

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 2, 2018 06:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (29 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มวัสดุและหุ้นกลุ่มธนาคาร ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าได้เริ่มคลี่คลายลง หลังจากที่จีนเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,271.41 จุด เพิ่มขึ้น 55.36 จุด หรือ +0.23% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,718.37 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด หรือ +0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,510.30 จุด เพิ่มขึ้น 6.62 จุด หรือ +0.09%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า จีนเตรียมประกาศมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนจากต่างประเทศซึ่งรวมถึงการลงทุนในภาคพลังงานและการธนาคาร อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการปรับตัวของดัชนีดาวโจนส์ทั้งสัปดาห์ พบว่าดัชนียังคงอยู่ในแดนลบ

หนังสือพิมพ์ไชน่า ซีเคียวริตี้ เจอร์นัลรายงานว่า ทางการจีนได้ทำการทบทวนข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาดของการลงทุนจากต่างประเทศ และจะเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนในเร็วๆนี้

รายงานระบุว่า ข้อจำกัดในด้านพลังงาน, ทรัพยากร, โครงสร้างพื้นฐาน, การคมนาคม, กระแสการหมุนเวียนด้านการค้า และการให้บริการระดับมืออาชีพ จะถูกยกเลิกหรือผ่อนคลายลง เพื่อให้สอดคล้องกับที่รัฐบาลจีนได้ประกาศมาตรการเปิดเสรีในภาคการเงินและยานยนต์เมื่อไม่นานมานี้

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นในช่วงแรกของการซื้อขาย หลังจากธนาคารหลายแห่งสามารถผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) รอบที่ 2 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ธนาคารเหล่านั้นเปิดเผยแผนการซื้อคืนหุ้น หรือเพิ่มการจ่ายเงินปันผล

เฟดระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่ 34 แห่ง จาก 35 แห่งสามารถผ่านการทดสอบ ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ สามารถผ่านการทดสอบอย่างมีเงื่อนไข โดยเฟดกำหนดให้ธนาคารทั้ง 2 แห่งจ่ายเงินปันผลที่ไม่สูงกว่าระดับในปีที่แล้ว ส่วนธนาคารดอยซ์แบงก์ที่ดำเนินกิจการในสหรัฐไม่ผ่านการทดสอบ

ทั้งนี้ สถาบันการเงินใดที่ผ่านการทดสอบ จะได้รับอนุญาตให้ทำการซื้อคืนหุ้น หรือเพิ่มการจ่ายเงินปันผล

เฟดจัดการทดสอบดังกล่าว โดยมีเป้าหมายป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการเงินซ้ำรอยกับเมื่อปี 2551

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้หุ้นเจพีมอร์แกนดีดตัวขึ้นในการซื้อขายช่วงแรกก่อนจะร่วงลง 0.7% ส่วนหุ้นโกลด์แมน แซคส์ลดลง 1.3% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โกปรับตัวขึ้น 3.4%

ขณะที่ หุ้นไนกี้ อิงค์ ทะยานขึ้น 11% ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าคาดในช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ของปีงบการเงินบริษัท

ทั้งนี้ ไนกี้ระบุว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 69 เซนต์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 64 เซนต์/หุ้น ขณะเดียวกัน บริษัทมียอดขายที่ระดับ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.4 พันล้านดอลลาร์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับการเปิดเผยเมื่อวานนี่ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนพ.ค. โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนเม.ย.

การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐที่ชะลอตัวในเดือนพ.ค.ได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ลดลง

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% เช่นกันในเดือนเม.ย.

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พุ่งขึ้น 2.3% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2555 หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนเม.ย.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในระดับดังกล่าวติดต่อกัน 6 เดือน

เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานพุ่งขึ้น 2.0% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2555 และแตะระดับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ 2.0% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนเม.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ