ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (17 ก.ค.) ขานรับนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่แสดงความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ ในระหว่างการแถลงนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 384.98 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,661.54 จุด เพิ่มขึ้น 100.52 จุด หรือ +0.80% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,422.54 จุด เพิ่มขึ้น 13.11 จุด หรือ +0.24% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,626.33 จุด เพิ่มขึ้น 25.88 จุด หรือ +0.34%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากนายเจอโรม พาวเวล ที่กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการคลัง, ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค, การลงทุนในภาคธุรกิจ, ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือน, การขยายตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ และสภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายภายในประเทศ ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ
นายพาวเวลกล่าวว่า ถึงแม้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 2% ในไตรมาสแรก แต่ก็คาดว่าการขยายตัวในไตรมาส 2 จะสูงกว่าไตรมาสแรกอย่างมาก ส่วนภาวะตลาดแรงงานนั้น นายพาวเวลคาดว่ายังคงมีความแข็งแกร่งในช่วงหลายปีข้างหน้า ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปยังคงเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม โดยถ้อยแถลงดังกล่าวของนายพาวเวลทำให้นักลงทุนเชื่อว่า เฟดจะไม่เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้เศรษฐกิจภายในประเทศส่งสัญญาณแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม
ตลาดยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นอันโตฟากัสตา พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นเกลนคอร์ ดีดขึ้น 1.3% และหุ้นริโอ ทินโต ปรับตัวขึ้น 1.7% ส่วนหุ้นในกลุ่มพลังงานนั้น หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ขยับขึ้น 0.4% และหุ้นบีพี เพิ่มขึ้น 0.5%
หุ้นธิสเซ่นครุปป์ (Thyssenkrupp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กของเยอรมนี พุ่งขึ้น 9.1% หลังจากนายอุลริช เลห์เนอร์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัท ขณะที่นักลงทุนมองว่าการลาออกของนายเลห์เนอร์อาจปูทางสู่การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของธิสเซ่นครุปป์
หุ้นเทเลนอร์ ซึ่งเป็นบริษัทเทเลคอมรายใหญ่ของนอร์เวย์ ร่วงลง 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์