ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 7.66 จุด ขณะหุ้น"แอปเปิล"พุ่งต่อหลังมาร์เก็ตแคปแตะ $1 ล้านล้าน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 3, 2018 06:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (2 ส.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นแอปเปิลจนทำสถิติเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของสหรัฐและของโลกที่มีมูลค่าตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งช่วยบดบังความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,326.16 จุด ลดลง 7.66 จุด หรือ -0.03% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,827.22 จุด เพิ่มขึ้น 13.86 จุด หรือ 0.49% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,802.69 จุด เพิ่มขึ้น 95.40 จุด หรือ 1.24%

ในช่วงแรกนั้น ดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ดี ดาวโจนส์พลิกดีดตัวแดนบวกในเวลาต่อมา จากอานิสงส์แอปเปิลทำสถิติมาร์เก็ตแคปแตะ 1 ล้านล้านดอลล์

การพุ่งขึ้นของราคาหุ้นแอปเปิลเป็นปัจจัยหนุนดัชนีดาวโจนส์, S&P 500 และ Nasdaq เนื่องจากหุ้นแอปเปิลได้ถูกนำไปคำนวณทั้ง 3 ดัชนีดังกล่าว

ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้น 2.92% ปิดที่ 207.39 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ทะยานขึ้นถึง 5.9% เมื่อวันพุธ ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาหุ้นในวันพฤหัสบดี ส่งผลให้แอปเปิลเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของสหรัฐและของโลกที่มีมูลค่าตลาดแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยขณะนี้ราคาหุ้นแอปเปิลพุ่งขึ้นราว 22% นับตั้งแต่ต้นปี และทะยานขึ้นมากกว่า 30% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

โดยหลังปิดตลาดในวันอังคาร แอปเปิลได้เปิดเผยผลประกอบการช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 17% อยู่ที่ระดับ 5.33 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.23 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 2.34 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 40% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.18 ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ไม่สามารถรักษาช่วงบวกเอาไว้ได้ เนื่องจากตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ในวันพฤหัสบดี ขู่ตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์

"จีนเตรียมพร้อม และจะตอบโต้เพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติ, ผลประโยชน์ของประชาชน และปกป้องการค้าเสรี, การซื้อขายแบบพหุภาคี รวมทั้งผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา จีนได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขความขัดแย้งโดยผ่านทางการเจรจาหารือ แต่อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเราต้องปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน และให้เกียรติต่อคำพูดของเรา" แถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% จากเดิมในอัตรา 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยครอบคลุมสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระลอกใหม่นี้ ได้ฉุดหุ้นบริษัทส่งออกอย่าง โบอิ้ง, 3เอ็ม และดาวดูปองท์ ร่วงลงและได้ถ่วงดัชนีดาวโจนส์ให้ปิดในแดนลบ

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดวอลล์สตรีท โดยบริษัทในดัชนี S&P 500 มากกว่า 70% ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว ซึ่งบริษัท 78% จากจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ โดยผลการสำรวจระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. หลังจากที่พุ่งขึ้น 213,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. และนักวิเคราะห์ยังคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 3.9%

ในเดือนที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมิ.ย. โดยเพิ่มขึ้น 213,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 1,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 220,000 ราย

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมิ.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ค.

คำสั่งซื้อภาคโรงงานดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อในภาคการขนส่ง, อุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมทั้งคอมพิวเตอร์

เมื่อเทียบรายปี ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานพุ่งขึ้น 8.0% ในเดือนมิ.ย.

ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าทุนพื้นฐาน ที่ไม่รวมหมวดอาวุธและเครื่องบิน เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. หลังจากดีดตัวขึ้น 0.7% ในเดือนพ.ค.โดยยอดสั่งซื้อดังกล่าวได้รับการจับตาว่าเป็นมาตรวัดความเชื่อมั่น และแผนการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ

สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดวอลล์สตรีทวันพฤหัสบดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งนำตลาด 1.4% จากอานิสงส์หุ้นแอปเปิลและเทสลา ตามมาด้วยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่พุ่งขึ้น 1.1% ด้านหุ้นกลุ่มวัสดุและพลังงานลดลง 0.7% และ 0.5% ตามลำดับ

หุ้นเทสลาทะยาน 16% หลังจากที่ซีอีโอ อีลอน มัสก์ กล่าวว่าบริษัทจะสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้และมีกระแสเงินสดที่เป็นบวกในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ หลังจากที่ขาดทุนมากเกินคาดในไตรมาสที่ผ่านมา

หุ้นซิสโก้ ซีสเต็มส์ บวก 1.6% หลังบริษัทตกลงซื้อธุรกิจสตาร์ทอัพรายหนึ่ง

หุ้นยัม แบรนด์ส อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพิซซ่า ฮัท, เคนตั๊กกี ฟรายชิกเก้น (KFC) และทาโก เบล บวก 1.5% หลังบริษัทรายงานกำไรสูงกว่าคาดในไตรมาส 2

หุ้นดาวดูปองท์ ร่วง 2.2% แม้บริษัทด้านเกษตรกรรม วัสดุศาสตร์และผลิตภัณฑ์พิเศษ รายงานผลกำไรและรายได้ที่ดีเกินคาดก็ตาม

หุ้นแมคโดนัลด์ ลดลง 0.96% ขณะหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลบ 0.87%

หุ้นทริปแอดไวเซอร์ ดิ่ง 11.2% หลังรายได้ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ