ดาวโจนส์เปิดแดนบวก แต่ยังถูกกดดันจากความกังวลสงครามการค้า,ผิดหวังตัวเลขจ้างงาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday August 3, 2018 21:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์เปิดแดนบวกในวันนี้ แต่ตลาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นอกจากนี้ การเปิดเผยตัวเลขจ้างงานของสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด ก็ได้เป็นปัจจัยจำกัดช่วงบวกในตลาด

ณ เวลา 21.21 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,377.81 จุด เพิ่มขึ้น 51.65 จุด หรือ 0.20%

หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงสวนทางตลาดวันนี้ ตามการปรับตัวลงของราคาน้ำมัน

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.ค. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 157,000 ตำแหน่ง โดยเป็นตัวเลขการเพิ่มขึ้นต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 248,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.9% สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี หลังจากแตะระดับ 4.0% ในเดือนมิ.ย.

ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 7 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.3% จากระดับ 0.2% ในเดือนมิ.ย. และเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบรายปี โดยสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศในวันนี้ว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษีในช่วง 5-25%

ทั้งนี้ จีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน

การประกาศดังกล่าวของจีนมีขึ้น หลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ ขู่ตอบโต้สหรัฐ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์

"จีนเตรียมพร้อม และจะตอบโต้เพื่อรักษาเกียรติภูมิของชาติ, ผลประโยชน์ของประชาชน และปกป้องการค้าเสรี, การซื้อขายแบบพหุภาคี รวมทั้งผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา จีนได้เสนอแนะให้มีการแก้ไขความขัดแย้งโดยผ่านทางการเจรจาหารือ แต่อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าเราต้องปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมกัน และให้เกียรติต่อคำพูดของเรา" แถลงการณ์ระบุ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณาปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสู่ระดับ 25% จากเดิมในอัตรา 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยครอบคลุมสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดวอลล์สตรีท โดยบริษัทในดัชนี S&P 500 มากกว่า 70% ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว ซึ่งบริษัท 78% จากจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.4% สู่ระดับ 4.63 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. โดยเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน หลังจากลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่งในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 4.32 หมื่นล้านดอลลาร์

สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. และใกล้ระดับ 2 แสนล้านดอลลาร์ หากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ขาดดุลการค้าต่อเม็กซิโก 6.7 พันล้านดอลลาร์ และขาดดุลต่อสหภาพยุโรป 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์

ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 55.7 ในเดือนก.ค. โดยอยู่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 58.6 จากระดับ 59.1 ในเดือนมิ.ย.

ดัชนีภาคบริการได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ