ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงเกือบ 100 จุด บ่งชี้วอลล์สตรีทปรับตัวลง ขณะกังวลสงครามการค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 5, 2018 20:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าร่วงลงเกือบ 100 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนมีความกังวลต่อการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากวิกฤตการณ์ในตลาดเกิดใหม่ ท่ามกลางกระแสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการชำระหนี้สกุลดอลลาร์ของตลาดเกิดใหม่ ขณะที่ค่าเงินของตุรกี, อาร์เจนตินา และอินโดนีเซียต่างดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์

ณ เวลา 20.17 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าลบ 87 จุด หรือ 0.33% สู่ระดับ 25,898 จุด

นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่า แคนาดาจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฉบับใหม่ในสัปดาห์นี้

"มีหลายเรื่องที่เราต้องการเห็นในการเจรจาข้อตกลง NAFTA ฉบับใหม่" นายทรูโดกล่าว

ทั้งนี้ ตัวแทนเจรจาการค้าของทั้งสองฝ่ายจะเริ่มการเจรจาครั้งใหม่ในวันนี้ที่กรุงวอชิงตัน หลังจากที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุไว้ เนื่องจากทั้งสองฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งกันในหลายประเด็น

ทางด้านปธน.ทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐและเม็กซิโกสามารถเดินหน้าต่อไปโดยไม่ต้องมีแคนาดาในการทำข้อตกลง NAFTA ฉบับใหม่

ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความก่อนหน้านี้ ระบุว่า "ไม่มีความจำเป็นทางการเมืองที่จะให้แคนาดาอยู่ในข้อตกลง NAFTA ฉบับใหม่ ซึ่งถ้าเราไม่สามารถทำข้อตกลงที่เป็นธรรมสำหรับสหรัฐ หลังจากที่ถูกเอาเปรียบมานานหลายสิบปี แคนาดาก็ต้องออกไป และสภาคองเกรสก็ไม่ควรเข้าแทรกแซงในการเจรจา มิฉะนั้น ผมจะยกเลิกข้อตกลง NAFTA โดยสิ้นเชิง ซึ่งจะเป็นเรื่องดีกว่าสำหรับเรา"

ขณะเดียวกัน สหรัฐเตรียมทำสงครามการค้ารอบใหม่กับจีนในสัปดาห์นี้ โดยแหล่งข่าวระบุว่า ปธน.ทรัมป์กล่าวกับคนสนิทของเขาว่า เขาจะทำการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าของจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ทันทีที่มาตรการดังกล่าวได้ข้อสรุปจากการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนในวันที่ 22-23 ส.ค.ได้สิ้นสุดลง โดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันคิดเป็นวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 9.5% สู่ระดับ 5.01 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน และเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 หลังจากอยู่ที่ระดับ 4.57 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.

นอกจากนี้ การพุ่งขึ้น 9.5% ของตัวเลขขาดดุลในเดือนก.ค. ยังถือเป็นการทะยานขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบรายเดือนนับตั้งแต่ปี 2558 โดยมีสาเหตุจากการลดลงของการส่งออกถั่วเหลืองและเครื่องบิน ขณะที่การนำเข้าพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนพุ่งขึ้น 10% สู่ระดับ 3.68 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ขาดดุลการค้าต่อเม็กซิโกลดลง 25.3% สู่ระดับ 5.5 พันล้านดอลลาร์ และขาดดุลต่อสหภาพยุโรปพุ่งขึ้น 50% สู่ระดับ 1.76 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ขาดดุลต่อแคนาดาเพิ่มขึ้น 57.6% สู่ระดับ 3.1 พันล้านดอลลาร์

หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 8.25 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน จากระดับ 7.93 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.

กระทรวงพาณิชย์ยังเปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าและบริการลดลง 1.0% สู่ระดับ 2.111 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. ส่วนการนำเข้าสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 0.9% สู่ระดับ 2.612 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นำโดยการนำเข้าน้ำมันดิบ และรถยนต์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ