ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 8.68 จุด หลังสหรัฐเผยข้อมูลศก.,นลท.จับตาความขัดแย้งการค้าจีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday September 15, 2018 06:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) แต่ขยับขึ้นไม่มากนัก เช่นเดียวกับดัชนี S&P ที่บวกขึ้นเพียงเล็กน้อย ด้าน Nasdaq ปิดขยับลงเล็กน้อย หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการซึ่งมีทั้งที่ออกมาดีกว่าและแย่กว่าคาดการณ์ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังมีข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,154.67 จุด เพิ่มขึ้น 8.68 จุด หรือ +0.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,904.98 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 จุด หรือ +0.03% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,010.04 จุด ลดลง 3.67 จุด หรือ -0.05%

สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.9% ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สี่ในรอบห้าสัปดาห์ ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.2% บวกเป็นสัปดาห์ที่ห้าติดต่อกัน และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 1.4% บวกเป็นสัปดาห์ที่สามในรอบสี่สัปดาห์

ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดปรับตัวขึ้น ก่อนพลิกร่วงลงสู่แดนลบอยู่ช่วงหนึ่ง เช่นเดียวกับอีกสองดัชนีที่ขยับขึ้นลงระหว่างแดนบวกและแดนลบตลอดช่วงการซื้อขายในวันศุกร์ หลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้เรียกประชุมที่ปรึกษาทางการค้า ซึ่งรวมถึงนายมนูชิน, นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ

รายงานระบุว่า ปธน.ทรัมป์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี เดินหน้าเรียกเก็บภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์จากจีน แม้อีกด้านหนึ่ง สหรัฐจะยังคงใช้ความพยายามที่จะเจรจาแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับจีน

ขณะนี้ได้ผ่านพ้นกำหนดเส้นตายในวันที่ 6 ก.ย.สำหรับการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐต่อมาตรการเรียกเก็บภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์จากจีน แต่ปธน.ทรัมป์ก็ยังคงไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว

นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่วงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่มีแผนเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดี แม้มีแรงเทขายเข้ามาในตลาดหลังจากมีการรายงานข่าวดังกล่าว แต่ดัชนีดาวโจนส์ก็ค่อยๆ ดีดตัวขึ้นเป็นลำดับจนปิดแดนบวกได้ในที่สุด

สำหรับความเคลื่อนไหวจากธนาคารกลางสหรัฐ นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ผู้ว่าการเฟด ชิคาโก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐหลายรายคาดการณ์เหมือนกันว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวแข็งแกร่งในช่วงหลายปีข้างหน้า โดยอัตราว่างงานจะลดลง และอัตราเงินเฟ้อจะขยับขึ้นเหนือ 2% เล็กน้อย

ในส่วนของสถานการณ์พายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์ ศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติของสหรัฐ (NHC) รายงานว่า พายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์พัดขึ้นฝั่งที่แถบชายฝั่งรัฐนอร์ทแคโรไลนาและเซาท์แคโรไลนา โดยถึงแม้พายุลูกนี้ได้อ่อนกำลังสู่ระดับ 1 แต่ก็ยังคงอันตราย เพราะจะทำให้เกิดน้ำท่วมหนัก ลมแรง รวมทั้งก่อให้เกิดสตอร์ม เซิร์จ หรือคลื่นลูกใหญ่บริเวณชายฝั่งของรัฐนอร์ทและเซาท์แคโรไลนา ขณะที่มีการประมาณการว่า พายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์อาจสร้างความเสียหายแก่ที่ดินและทรัพย์สินเป็นมูลค่า 3-5 พันล้านดอลลาร์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้มีอยู่หลายรายการด้วยกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค. โดยการชะลอตัวของยอดค้าปลีกในเดือนส.ค.ได้รับผลกระทบจากการลดลงของยอดขายรถยนต์และเสื้อผ้า

ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนก.ค.

ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค.

ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค โดยภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.2% และภาคเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น 0.7%

ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 78.1% ในเดือนส.ค. จากระดับ 77.9 ในเดือนก.ค.

ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าร่วงลง 0.6% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2559 หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ค.

การร่วงลงของดัชนีราคานำเข้าได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ซึ่งได้พุ่งขึ้นมากกว่า 6% ในปีนี้ และได้ทำให้ต้นทุนการนำเข้าพลังงานลดลง หากไม่นับรวมหมวดพลังงานและอาหาร ดัชนีราคานำเข้าพื้นฐานลดลง 0.2% ในเดือนส.ค. หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ค.

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออกลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากลดลง 0.5% ในเดือนก.ค.

ด้านผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 100.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 96.6 หลังจากแตะระดับ 96.2 ในเดือนส.ค.

ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันเดียวกันว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากที่ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย.

การดีดตัวขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจในเดือนก.ค.ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของสต็อกรถยนต์

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต

หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ และโบอิ้ง เป็นแกนนำหุ้นบวก โดยพุ่งขึ้น 1.68% และ 1.22% ตามลำดับ

หุ้นแอปเปิล ลบ 1.14% หลังพุ่งแข็งแกร่งวันก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ