ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 69.84 จุด นักลงทุนชะลอซื้อขายก่อนรู้ผลประชุมเฟด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday September 26, 2018 06:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่กระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งอ่อนไหวต่อการค้าระหว่างประเทศนั้น ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,492.21 จุด ลดลง 69.84 จุด หรือ -0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,915.56 จุด ลดลง 3.81 จุด หรือ -0.13% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,007.47 จุด เพิ่มขึ้น 14.22 จุด หรือ +0.18%

นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างก็จับตาการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากปรับขึ้นไปแล้วในการประชุมเดือนมี.ค.และมิ.ย.ปีนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด โดยคาดว่า นายเจอโรมอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และอาจแสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคซึ่งมีความอ่อนไหวต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่างก็ปรับตัวลง โดยหุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ลดลง 0.7% หุ้นพรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ร่วงลง 1.4% หุ้นเป๊ปซี่โค ลดลง 0.3% และหุ้นโคคา-โคลา ลดลง 0.8% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.73%

หุ้นกลุ่มธนาคารปิดตลาดอ่อนแรงลง แม้ได้รับแรงหนุนในระหว่างวันหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ก็ตาม โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ต่างก็ปรับตัวลงราว 0.3% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 0.5% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับตัวลง 0.6%

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยหุ้นโบอิ้ง ปรับตัวลง 0.2% หุ้น 3M ร่วงลง 1.3% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 0.4% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก และหุ้นอีตัน คอร์ป ต่างก็ปรับตัวลง 0.3%

ส่วนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปซึ่งต้องพึ่งพารายได้ส่วนหนึ่งจากการทำธุรกิจในจีนนั้น ร่วงลงเนื่องจากความกังวลสงครามการค้าเช่นกัน โดยหุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดิ่งลง 1.1% หุ้นพีเอชแอลเอ็กซ์ เซมิคอนดักเตอร์ ร่วงลง 1.7% ขณะที่หุ้นอินเทล ร่วงลง 2.1% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เรย์มอนด์ เจมส์ ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอินเทล

หุ้นไนกี้ ร่วงลง 2.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยอัตรากำไรขั้นต้น (gross margin) ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงซื้อหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.6% และหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 0.7%

หุ้นโนวาร์ติส ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์และเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดีดตัวขึ้น 0.7% หลังจากบริษัทประกาศแผนการปลดพนักงาน 2,200 ตำแหน่งในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึง 400 ตำแหน่งในสหราชอาณาจักร

หุ้นไมเคิล คอร์ส โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิตกระเป๋าและสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังสัญชาติอเมริกัน พุ่งขึ้น 2% หลังจากบริษัทประกาศทุ่มเงิน 2.1 พันล้านดอลลาร์ซื้อกิจการจิอันนี เวอร์ซาเช่ เจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์หรูสัญชาติอิตาลี โดยหลังการควบรวมกิจการแล้ว บริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นจะใช้ชื่อว่า "คาปรี โฮลดิ้งส์" ขณะที่ฝ่ายบริหารชุดเดิมของเวอร์ซาเช่จะยังคงทำหน้าที่ต่อไป

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งมีการเปิดเผยล่าสุดและส่งผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ Conference Board เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 138.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี จากระดับ 134.7 ในเดือนก.ค. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นจะลดลงสู่ระดับ 132.0

ขณะที่เอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ได้เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.0% ในเดือนก.ค. แต่ชะลอตัวลงจากระดับ 6.2% ในเดือนมิ.ย. และดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.9% ในเดือนก.ค. ลดลงจากระดับ 6.4% ในเดือนมิ.ย.

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ