ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (12 ต.ค.) แม้เปิดตลาดในแดนบวกโดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ทั้งยังสวนทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดตลาดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ด้วย
นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นยุโรปปิดตลาดปรับตัวลดลงนั้น เป็นผลจากการที่นักลงทุนชิงขายหุ้นเนื่องจากวิตกว่าตลาดหุ้นอาจปรับตัวลดลงอีก เพราะขณะนั้นตลาดหุ้นนิวยอร์กยังไม่ปิดการซื้อขายและนักลงทุนไม่มั่นใจว่าตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปรับตัวลดลงหรือไม่ ซึ่งการซื้อขายในตลาดยุโรปส่วนใหญ่มักเป็นไปในทิศทางเดียวกับสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.70 จุด หรือ 0.19% ปิดที่ 358.95 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,523.81 จุด ลดลง 15.54 จุด หรือ -0.13% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,995.91 จุด ลดลง 11.02 จุด หรือ -0.16% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,095.98 จุด ลดลง 10.39 จุด หรือ -0.20%
ส่วนดัชนี FTSE MIB ตลาดหุ้นอิตาลี ปรับตัวลดลง 0.5% แตะ 19,255.98 เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอิตาลียังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาด โดยแม้ว่ารัฐบาลอิตาลีประกาศปรับลดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2563 ลงเหลือ 2.1% และลดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2564 ลงเหลือ 1.8% ของตัวเลข GDP แต่รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะกำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 เอาไว้ที่ 2.4% ของตัวเลข GDP แม้สหภาพยุโรปได้ออกมาเตือนว่า เป้าหมายการขาดดุลในปี 2562 นั้นสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลชุดก่อนถึง 3 เท่า
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงไม่มากนัก เพราะยังพอได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มแบรนด์เนม โดยที่ตลาดหุ้นฝรั่งเศส หุ้นเคอริง เจ้าของแบรนด์กุชชี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.99% ส่วนหุ้นแอลวีเอ็มเอช เจ้าของแบรนด์หลุยส์ วิตตอง ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.21% ขณะที่หุ้นเบอร์เบอรี่ตลาดหุ้นลอนดอน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.21%