ดาวโจนส์พุ่งกว่า 200 จุด ขานรับผลประกอบการสดใส จับตาซัมมิต"ทรัมป์-สีจิ้นผิง"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 30, 2018 21:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุดในวันนี้ ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในเดือนหน้า

ณ เวลา 20.57 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 24,657.83 จุด เพิ่มขึ้น 214.91 จุด หรือ 0.88%

ถึงแม้ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นในวันนี้ แต่ก็ยังคงดิ่งลง 7.3% ในเดือนนี้ ซึ่งจะทำให้เดือนต.ค.ปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในรอบกว่า 8 ปี

หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก

อันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ผลิตเครื่องกีฬาและเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่ของสหรัฐ รายงานตัวเลขกำไร และรายได้ประจำไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยบริษัทมีกำไร 25 เซนต์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 12 เซนต์/หุ้น นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ที่ระดับ 1.44 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.42 พันล้านดอลลาร์

บริษัทโคคา โคล่า เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยบริษัทมีกำไรที่ระดับ 58 เซนต์/หุ้น ขณะที่มีรายได้ 8.25 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจะมีกำไรที่ระดับ 55 เซนต์/หุ้น และมีรายได้ 8.17 พันล้านดอลลาร์

กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ระบุว่า จีนกำลังทำการติดต่อสหรัฐเพื่อจัดการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นอกรอบการประชุม G20 ในเดือนหน้า

หากการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิงเกิดขึ้นจริง ก็จะถือเป็นการพบปะกันระหว่างผู้นำทั้งสองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การประชุมที่กรุงปักกิ่งในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว

ทั้งนี้ การประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.

ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า เขาคิดว่าสหรัฐจะสามารถทำข้อตกลงทางการค้าครั้งใหญ่กับจีน แต่เขาก็เตือนว่าสหรัฐพร้อมที่จะเรียกเก็บภาษีอีกหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อสินค้าจีน หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับจีน

ขณะนี้ สหรัฐได้เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนในวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงิน 1.10 แสนล้านดอลลาร์

"และผมก็เตรียมเก็บภาษีสินค้าจีนในวงเงินอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ ถ้าเราไม่สามารถบรรลุข้อตกลง" ปธน.ทรัมป์กล่าว

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สหรัฐกำลังเตรียมเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ หากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างกัน

ทั้งนี้ สหรัฐอาจประกาศเรียกเก็บภาษีรอบใหม่ต่อสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนอย่างเร็วที่สุดในเดือนธ.ค. โดยสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าที่เหลือของจีนที่ยังไม่ถูกเก็บภาษีก่อนหน้านี้ โดยการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีนรอบใหม่จะคิดเป็นมูลค่า 2.67 แสนล้านดอลลาร์

การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้เริ่มต้นในช่วงกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยสำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ประกาศรายการสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีนที่ต้องถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 25% คิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ วงเงิน 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่วนการเรียกเก็บภาษีสินค้าล็อตที่ 2 วงเงิน 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์มีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 ส.ค. ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน

ในวันที่ 17 ก.ย. ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยเรียกเก็บในอัตรา 10% ซึ่งได้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย. และจากนั้นจะเพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 5-10% คิดเป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย.เช่นกัน

ต่อมา ปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ ถ้าหากจีนได้ทำการตอบโต้ต่อการเรียกเก็บภาษีก่อนหน้านี้ของสหรัฐ

ทั้งนี้ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่ในวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่เรียกเก็บภาษีสินค้าวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ และ 2 แสนล้านดอลลาร์ก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าสหรัฐได้เรียกเก็บภาษีต่อสินค้าทั้งหมดที่จีนส่งเข้าไปยังสหรัฐ โดยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า จีนได้ส่งออกสินค้าวงเงิน 5.05 แสนล้านดอลลาร์เข้าสู่สหรัฐในปีที่แล้ว

ขณะเดียวกัน ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ เตือนนักลงทุนว่า ถ้าพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 6 พ.ย. ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลง

"ตลาดหุ้นได้พุ่งขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ขณะนี้กำลังชะลอตัวลง โดยผู้คนกำลังรอดูผลการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งถ้าคุณอยากให้หุ้นของคุณตก ผมก็ขอแนะนำให้คุณลงคะแนนเสียงเลือกพรรคเดโมแครต เพราะพวกเขาชอบรูปแบบทางการเงินของเวเนซุเอลา โดยเก็บภาษีสูง และเปิดชายแดน" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

คำกล่าวของปธน.ทรัมป์สอดคล้องกับคำเตือนของนายมาร์ค โมเบียส ประธานกรรมการบริหาร เทมเพิลตัน อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ตส์ กรุ๊ป และผู้ก่อตั้งบริษัทโมเบียส แคปิตัล พาร์ทเนอร์ส ที่ระบุว่า ตลาดหุ้นจะทรุดตัวลงมากขึ้น หากพรรครีพับลิกันพ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางเทอมในสัปดาห์หน้า

"ถ้าหากพรรคเดโมแครตสามารถเข้าควบคุมสภาคองเกรส ผมเชื่อว่านี่จะเป็นเรื่องที่ไม่ดีต่อตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ตลาดมีการปรับฐานรุนแรงขึ้น" นายโมเบียสกล่าว

นายโมเบียสยังระบุว่า สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ภาวะซบเซาในตลาด ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงเกือบ 6% ในเดือนนี้

ทางด้านนักวิเคราะห์เปิดเผยว่า การทรุดตัวของตลาดหุ้นในเดือนนี้มีสาเหตุมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ และการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ