ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 241.12 จุด รับผลประกอบการสดใส,หุ้นเทคโนฯบวกต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 1, 2018 06:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงหุ้นเฟซบุ๊กที่ดีดตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัท อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ แต่ภาพรวมตลอดเดือนต.ค.ยังคงซบเซา

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,115.76 จุด พุ่งขึ้น 241.12 จุด หรือ +0.97% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,711.74 จุด เพิ่มขึ้น 29.11 จุด หรือ +1.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,305.90 จุด เพิ่มขึ้น 144.25 จุด หรือ +2.01%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดย GM ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.87 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.25 ดอลลาร์/หุ้น ขณะรายได้อยู่ที่ 3.579 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.485 หมื่นล้านดอลลาร์

ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดช่วยหนุนราคาหุ้น GM ปิดตลาดพุ่งขึ้น 9.1% ส่วนหุ้นของบริษัทรายใหญ่ที่เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดนั้น ต่างก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเอสเต้ ลอเดอร์ พุ่งขึ้น 4.7% หุ้นอีเบย์ พุ่งขึ้น 5.9% หุ้นยัม แบรนด์ ดีดตัวขึ้น 4.6% หุ้นทีโมบาย ยูเอส พุ่งขึ้น 7.2%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 3.8% หุ้นแอปเปิล ดีดตัวขึ้น 2.6% หุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 4.4% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 5.6 หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 3.9% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 3.8% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ ทะยานขึ้น 4.7% และหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ พุ่งขึ้น 2.6%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของเฟซบุ๊ก โดยทางบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.76 ดอลลาร์/หุ้น มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.59 ดอลลาร์/หุ้น และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.46 ดอลลาร์/หุ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากภาพรวมตลอดเดือนต.ค.แล้วพบว่า ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 5.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายเดือนที่หนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2559 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลง 6.9% ซึ่งลดลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2554 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 9.2% ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2551

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 227,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. จากระดับ 218,000 ตำแหน่งในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าการจ้างงานภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้น 189,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.

ทางด้าน MNI Indicators และสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) เขตชิคาโก เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกร่วงลง 2.0 จุด สู่ระดับ 58.4 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน โดยการร่วงลงของดัชนี PMI ในเดือนต.ค.ได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นที่เกิดจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการผลิตที่ชะลอตัวลง

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนต.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนต.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), ดุลการค้าเดือนก.ย., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ