ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวกเพียง 10.92 จุด ขณะ Nasdaq,S&P500 ปิดลบหลังเฟดส่งสัญญาขึ้นดบ.เดือนหน้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 9, 2018 06:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (8 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ตามคาด และได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงติดต่อกันเป็นวันที่ 9 เมื่อคืนนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,191.22 จุด เพิ่มขึ้น 10.92 จุด หรือ +0.04% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,806.83 จุด ลดลง 7.06 จุด หรือ -0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,530.88 จุด ลดลง 39.87 จุด หรือ -0.53%

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ โดยขณะนี้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.00-2.25% ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 ปีนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2551 ซึ่งเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว 8 ครั้งนับตั้งแต่ที่เริ่มปรับนโยบายการเงินสู่ภาวะปกติในเดือนธ.ค.2558

นอกจากนี้ เฟดยังได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.,มิ.ย. และก.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง และอีก 1 ครั้งในปี 2563

แถลงการณ์ของเฟดระบุว่า การใช้จ่ายในภาคครัวเรือนมีการขยายตัวในระดับสูง ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยอัตราว่างงานได้ปรับตัวลง ส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และความเสี่ยงอยู่ในระดับสมดุล ส่วนอัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%

อย่างไรก็ตาม เฟดได้ตั้งข้อสังเกตว่า การขยายตัวของการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ได้ชะลอตัวลงจากอัตราที่สูงในช่วงต้นปี

นักวิเคราะห์หลายราย ซึ่งรวมถึงควินซี ครอสบี นักวิเคราะห์จากพรูเดนเชียล ไฟแนนเชียล ในรัฐนิวยอร์ก กล่าวว่า แถลงการณ์ของเฟดซึ่งระบุว่า การลงทุนในภาคธุรกิจชะลอตัวลงนั้น ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต พร้อมระบุว่า สาเหตุที่บริษัทเอกชนชะลอการลงทุนนั้น มาจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่ 9 เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.6% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์ยี ดิ่งลง 4.8% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.5% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 3.3% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.8%

หุ้นดี.อาร์ ฮอร์ตัน ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ร่วงลง 9% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ซบเซา

หุ้นเทสลา ขยับขึ้น 0.9% หลังจากเทสลาประกาศแต่งตั้งนางโรบิน เดนโฮล์ม เข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท แทนนายอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงที่ทำไว้กับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ว่า นายมัสก์จะต้องสละตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทเทสลาเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี เพื่อยุติคดีที่ SEC ยื่นฟ้องนายมัสก์ฐานจงใจหลอกลวงนักลงทุน ด้วยการทวีตข้อความเกี่ยวกับการนำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด

หุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้ปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่ นำโดยหุ้น Ctrip.com และหุ้น JD.com ร่วงลง 19.02% และ 6.94% ตามลำดับ

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนต.ค., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ