ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ วิตกผลประกอบการ, เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย

ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.4% ปิดที่ 365.74 จุด

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,106.75 จุด ลดลง 24.70 จุด หรือ 0.48% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,105.34 จุด ลดลง 35.34 จุด หรือ 0.49% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,529.16 จุด ขยับขึ้นแค่ 1.84 จุด หรือ 0.02%

หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับผลกระทบหลังตลาดน้ำมันสหรัฐเข้าสู่ "ภาวะหมี" โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ลดลง 0.2% และหุ้นบีพี พีแอลซี ปรับตัวลง 1%

หุ้นบีบีวีเอ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของสเปน ดิ่งลง 5.9% หุ้นยูบีเอส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ ร่วงลง 2.65%

หุ้นเทเลคอม อิตาเลีย ร่วง 4.8% หลังรายงานตัวเลขขาดทุนในไตรมาส 3

หุ้นธิสเซ่นครุปป์ ร่วงลง 4% หลังปรับลดคาดการณ์ผลกำไรเป็นครั้งที่สองของปีนี้

ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยกดดันหลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. มิ.ย. และก.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง และอีก 1 ครั้งในปี 2563

นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสมากกว่า 90% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยจากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนจะชะลอตัวสู่ 2.1% ในปีนี้ หลังจากดีดตัวขึ้น 2.4% ในปีที่แล้ว พร้อมกับเตือนว่า ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของอิตาลีจะพุ่งเกินระดับ 3% ในปี 2563 ซึ่งสูงกว่าที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน