ดาวโจนส์ร้อนแรงพุ่งไม่หยุด ล่าสุดวิ่งกว่า 500 จุด ขานรับเฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 29, 2018 01:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดทะยานกว่า 500 จุด หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวในวันนี้ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินาในปลายสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนมีความหวังว่าการประชุมดังกล่าวจะช่วยยุติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ณ เวลา 01.40 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,275.33 จุด เพิ่มขึ้น 526.60 จุด หรือ 2.13%

ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กว่า "อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบตามมาตรฐานในช่วงที่ผ่านมา และอยู่ต่ำกว่าเพียงเล็กน้อยจากระดับที่เป็นกลางต่อเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้กระตุ้น หรือชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจ"

อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในขณะนี้อยู่ที่ระดับ 2.00-2.25% และมีการคาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนธ.ค. ก่อนที่จะปรับขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า และปรับขึ้น 1 ครั้งในปี 2563

การแสดงความเห็นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของนายพาวเวลในวันนี้ สอดคล้องกับนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ซึ่งกล่าววานนี้ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงที่เฟดเริ่มต้นวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.2558

นอกจากนี้ คำกล่าวของนายพาวเวลในวันนี้ยังแตกต่างจากในเดือนต.ค. ซึ่งเขาระบุว่า อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับที่เป็นกลาง ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า คำกล่าวของนายพาวเวลเป็นการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังได้ระบุในวันนี้ว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ไม่ได้มีการกำหนดนโยบายล่วงหน้าว่าอัตราดอกเบี้ยควรอยู่ในระดับใด และจะทำการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสภาวะทางการเงิน

ในการกล่าวสุนทรพจน์ในวันนี้ นายพาวเวลไม่ได้กล่าวถึงการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้แสดงความไม่พอใจต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่นายพาวเวลได้ระบุถึงเศรษฐกิจสหรัฐว่าได้ปรับตัวอย่างดี โดยมีการขยายตัวสูงกว่า 3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อถูกควบคุมอยู่ภายในเป้าหมายของเฟดที่ 2%

ในเรื่องเกี่ยวกับตลาดหุ้นนั้น นายพาวเวลกล่าวว่า ราคาหุ้นในขณะนี้อยู่ในระดับปกติ และเฟดไม่ได้เห็นความอันตรายที่เกิดจากราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมากเกินไป

อย่างไรก็ดี นายพาวเวลระบุเตือนเกี่ยวกับการก่อหนี้ในระดับสูงของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ และภาคเอกชนที่มีความเสี่ยงสูง

ทางด้านหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทม์สรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของการทำสงครามการค้าเป็นเวลานานกับจีนที่จะมีต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งความกังวลดังกล่าวอาจทำให้ปธน.ทรัมป์มีท่าทีประนีประนอมในการเจรจาการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินาในปลายสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิง มีกำหนดหารือและรับประทานอาหารเย็นร่วมกันในวันเสาร์นี้ โดยปธน.ทรัมป์จะเน้นเจรจาในประเด็นการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา, กรรมสิทธิ์ของบริษัทสหรัฐในจีน และการตั้งกำแพงการค้าทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับภาษี

นอกจากนี้ นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง อาจบรรลุข้อตกลงทางการค้าในการหารือร่วมกันในวันเสาร์นี้

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ที่ระดับ 3.5% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แต่ต่ำกว่าระดับ 4.2% ในไตรมาส 2

การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการลงทุนในภาคธุรกิจ แต่ก็ยังถูกกดดันจากการทำสงครามการค้ากับจีน

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะมีการขยายตัว 2.5% ในไตรมาส 4 และจะชะลอตัวลงมากขึ้นในปีหน้า โดยได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และผลบวกจากมาตรการกระตุ้นทางการคลังได้เบาบาง

กระทรวงระบุว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของตัวเลข GDP เพิ่มขึ้น 3.6% ในไตรมาส 3 โดยลดลงจากระดับ 4.0 ในการประเมินในเดือนต.ค.

เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 1 และเติบโต 4.2% ในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2557

ขณะเดียวกัน ผลกำไรของภาคเอกชนหลังหักภาษีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.3% ในไตรมาส 3 หลังจากอยู่ที่ระดับ 2.1% ในไตรมาส 2


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ