ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 617.70 จุด หลังปธ.เฟดส่งสัญญาณไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 29, 2018 07:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทะยานขึ้น 600 จุดเมื่อคืนนี้ (28 พ.ย.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ และจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า การเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนซึ่งจะมีขึ้นนอกรอบการประชุม G20 ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ จะช่วยยุติสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,366.43 จุด พุ่งขึ้น 617.70 จุด หรือ +2.50% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,743.79 จุด เพิ่มขึ้น 61.62 จุด หรือ +2.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,291.59 จุด พุ่งขึ้น 208.89 จุด หรือ +2.95%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนหลังจากนายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กเมื่อวานนี้ว่า "อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบตามมาตรฐานในช่วงที่ผ่านมา และอยู่ต่ำกว่าเพียงเล็กน้อยจากระดับที่เป็นกลางต่อเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้กระตุ้น หรือชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจ"

นอกจากนี้ นายพาวเวลยังเปิดเผยว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ไม่ได้มีการกำหนดนโยบายล่วงหน้าว่าอัตราดอกเบี้ยควรอยู่ในระดับใด และจะทำการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจ และสภาวะทางการเงิน ส่วนในเรื่องตลาดหุ้นนั้น นายพาวเวลกล่าวว่า ราคาหุ้นในขณะนี้อยู่ในระดับปกติ และเฟดไม่ได้เห็นความอันตรายที่เกิดจากราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นมากเกินไป

นักลงทุนมองว่า ความเคลื่อนไหวของนายพาวเวลถือเป็นส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ การแสดงความเห็นครั้งล่าสุดของนายพาวเวลยังแตกต่างจากในเดือนต.ค.ซึ่งเขากล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับที่เป็นกลาง ซึ่งการแสดงความเห็นในครั้งนั้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนมองว่านายพาวเวลส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ

แมทท์ ฟอเรสเตอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์บีเอ็นวาย เมลลอนส์ ล็อควู้ดส์ แอดไวเซอร์ส กล่าวว่า ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัว 3.5% ซึ่งแม้ว่าต่ำกว่าระดับ 4.2% ในไตรมาส 2 แต่ก็ออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีท และถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดว่า ผลการเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะช่วยคลี่คลายข้อพิพาทการค้าระหว่างสองประเทศ หลังจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์สรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีความกังวลว่า การทำสงครามการค้ากับจีนเป็นเวลานานนั้นจะมีต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งความกังวลดังกล่าวอาจทำให้ปธน.ทรัมป์มีท่าทีประนีประนอมในการเจรจาการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินาในปลายสัปดาห์นี้

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงได้รับแรงซื้อส่งเข้าหนุน โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 3.7% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 3.8% หุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ทะยานขึ้น 6.01% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล พุ่งขึ้น 3.7% หุ้น Nvidia ทะยานขึ้น 4.1% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 4.6% หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ พุ่งขึ้น 2.5% และหุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.6%

หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ปรับตัวขึ้น 0.3% หุ้นเป๊ปซี่โค ดีดตัวขึ้น 1.8% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล พุ่งขึ้น 1.6%

หุ้นบริษัทค้าปลีกออนไลน์พุ่งขึ้นแข็งแกร่ง นำโดยหุ้นอเมซอน พุ่งขึ้น 6.1% และหุ้นเบสท์บาย เพิ่มขึ้น 1.4% หลังจากอะโดบี อนาลิติคระบุว่า ยอดขายทางออนไลน์ในวันไซเบอร์มันเดย์ปีนี้ พุ่งขึ้น 19.3% จากปีที่ผ่านมา สู่ระดับ 7.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ดีดตัวขึ้น 0.8% หลังจากที่ร่วงลงในช่วงแรก อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความไม่พอใจที่ GM ตัดสินใจปิดโรงงานในสหรัฐและปลดพนักงานในสัดส่วนสูงถึง 15%

นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนต.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค. และคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะเปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 7-8 พ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ