ดัชนีดาวโจนส์ปรับฐานในวันนี้ หลังจากทะยานขึ้นมากกว่า 600 จุดเมื่อวานนี้
ณ เวลา 22.18 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,301.04 จุด ลดลง 65.39 จุด หรือ 0.26%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดทะยานขึ้นมากกว่า 600 จุดเมื่อคืนนี้ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัวสอดคล้องกับการคาดการณ์ และจากการที่นักลงทุนมีความหวังว่า การเจรจาระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนซึ่งจะมีขึ้นนอกรอบการประชุม G20 ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ จะช่วยยุติสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ
การแสดงความเห็นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของนายพาวเวลเมื่อวานนี้ สอดคล้องกับนายริชาร์ด แคลริดา รองประธานเฟด ซึ่งกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดกำลังเข้าใกล้ระดับที่เป็นกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงที่เฟดเริ่มต้นวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.2558
คำกล่าวล่าสุดของนายพาวเวลยังแตกต่างจากในเดือนต.ค. ซึ่งขณะนั้นเขาระบุว่า อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับที่เป็นกลาง ซึ่งคำกล่าวของเขาส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดตัวลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า นายพาวเวลกำลังส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินาในปลายสัปดาห์นี้ โดยหวังว่าการประชุมดังกล่าวจะช่วยยุติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 7-8 พ.ย.ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 234,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ค. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 220,000 ราย
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบ 7 เดือนในเดือนต.ค. โดยดีดตัวขึ้น 0.6% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.4% และสูงกว่าตัวเลขการใช้จ่ายในเดือนก.ย.ที่ระดับ 0.2%
การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐในเดือนต.ค.ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ และด้านสาธารณูปโภค