ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 70.11 จุด รับแรงซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี,นลท.จับตาการค้าสหรัฐ-จีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 14, 2018 06:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) จากแรงซื้อหุ้นกลุ่มที่สามารถต้านทานวัฏจักรทางเศรษฐกิจ (defensive stocks) เช่นหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค และกลุ่มสาธารณูปโภค ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากทั้งสองฝ่ายส่งสัญญาณความพร้อมที่จะผลักดันให้การเจรจามีความคืบหน้ามากขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,597.38 จุด เพิ่มขึ้น 70.11 จุด หรือ +0.29% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,650.54 จุด ลดลง 0.53 จุด หรือ -0.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,070.33 จุด ลดลง 27.98 จุด หรือ -0.39%

นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น defensive ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัยและมีปัจจัยพื้นฐานดี เช่นหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค และกลุ่มสาธารณูปโภค โดยหุ้นในกลุ่มสินค้าผู้บริโภคนั้น หุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นเป๊ปซี่โค ดีดตัวขึ้น 1.1% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล เพิ่มขึ้น 0.6%

ส่วนหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งเป็นหุ้น defensive เช่นกันนั้น โดยหุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ เพิ่มขึ้น 1.8% หุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี ซึ่งเป็นบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่ของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.5% และหุ้นเอ็กเซลอน เพิ่มขึ้น 0.1% หุ้นเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) พุ่งขึ้น 7.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้น GE สู่ neutral จากเดิมที่ underperform และได้ถอด GE ออกจากรายชื่อหุ้นที่มีการแนะนำให้นักลงทุนเทขาย โดยระบุว่า ราคาหุ้น GE ได้ปรับตัวรับข่าวในเชิงลบของบริษัทแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะสามารถดำเนินการเพื่อจำกัดช่วงขาลงในระยะใกล้ หุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 1.1% หลังจากบริษัทประกาศทุ่มเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ในการสร้างสำนักงานแห่งที่ 2 ที่เมืองนอร์ธ ออสติน รัฐเท็กซัส และลงทุนอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในการสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ในช่วง 5 ปีข้างหน้า พร้อมกับสร้างงานจำนวน 20,000 ตำแหน่งในสหรัฐ

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ร่วงลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ขยับลง 0.4% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 0.4% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.5% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ลดลง 0.5%

นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า บริษัทของรัฐบาลจีนได้สั่งซื้อถั่วเหลืองของสหรัฐมากกว่า 1.5 ล้านตัน ซึ่งเป็นการสั่งซื้อถั่วเหลืองสหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 เดือน นอกจากนี้ สื่อรายงานว่ารัฐบาลจีนเตรียมทบทวนนโยบาย "Made in China 2025" เพื่อเปิดทางให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้มากขึ้น และจีนยังเตรียมการพิจารณาการปรับลดอัตราภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐ ลงสู่ระดับ 15% จากปัจจุบันที่ระดับ 40%

ทางฝั่งสหรัฐนั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังดำเนินไปด้วยดี และเขาพร้อมจะแทรกแซงกรณีการจับกุมตัวนางเมิ่ง ว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี หากจะช่วยให้สหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน

นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 18-19 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้ แต่คาดว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ทรงตัว และการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ซบเซาในเดือนพ.ย.

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 27,000 ราย สู่ระดับ 206,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 49 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 225,000 ราย

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ