ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ม.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่า จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการลงมติของรัฐสภาอังกฤษต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการซื้อขายก่อนที่รัฐสภาอังกฤษจะแถลงมติดังกล่าว
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.35% ปิดที่ 348.71 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,891.79 จุด เพิ่มขึ้น 35.88 จุด หรือ +0.33% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,786.17 จุด เพิ่มขึ้น 23.42 จุด หรือ +0.49% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,895.02 จุด เพิ่มขึ้น 40.00 จุด หรือ +0.58%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นขานรับรายงานข่าวที่ว่า จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีครั้งใหญ่, เพิ่มศักยภาพในการจัดหาสินเชื่อให้กับบริษัทขนาดเล็ก และเพิ่มการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยทางการจีนจะให้การสนับสนุนกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและภาคการผลิต รวมทั้งจะออกมาตรการที่เอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในปี 2562 เพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลงจากรายงานที่ว่า ยอดส่งออกเดือนธ.ค.ของจีน หดตัวลง 4.4% เทียบรายปี และยอดนำเข้าหดตัวลง 7.6% โดยทั้งยอดส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนธ.ค.เป็นสถิติที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้นขานรับข่าวจีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยหุ้นบีพี ปรับตัวขึ้น 0.4% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ เพิ่มขึ้น 0.9% และหุ้นอันโตฟากัสตา พุ่งขึ้น 1.5%
หุ้นเซจ กรุ๊ป บริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ของอังกฤษ พุ่งขึ้น 2% ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้นบลูชิพที่คำนวณในดัชนี FTSE 100
หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ปรับตัวลง 0.3% หลังจากบริษัทประกาศแผนปลดพนักงานจำนวนกว่า 1 พันคน
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลีร่วงลง หลังจากหนังสือพิมพ์ของอิตาลีรายงานว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีคำสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ของอิตาลีเพิ่มการกันสำรองเงินสดภายในปี 2569 โดยหุ้นยูเนียน เดอ บองช์ อิตาเลียเน่ ดิ่งลงเกือบ 5% หุ้นบังโค บีพีเอ็ม ร่วงลงกว่า 4%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยลบในระหว่างวัน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนีเปิดเผยว่า เศรษฐกิจเยอรมนีมีการขยายตัวเพียง 1.5% ในปี 2561 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี หลังจากที่มีการขยายตัว 2.2% ในปี 2560 โดยเศรษฐกิจเยอรมนีได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า และความเสี่ยงที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง